วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตะลุยเดี่ยวเที่ยวแม่ฮ่องสอน...อีกครั้ง กับ BMW F800GS


ทริปใหม่...เวลาใหม่...กับรถคันใหม่ แต่ใช้ชื่อเดิม คิดอยู่นานว่าจะตั้งชื่อเจ้าหนูคันใหม่ว่าอย่างไรดี สุดท้ายก็ยังขอเรียกว่า “หนูดี” เหมือนเดิม

ประเดิมทริปแรกกับหนูดี ด้วยการพาไปแอ่วเหนือ แต่เป็นการไปครั้งที่สาม ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางกันเล็กน้อย เพื่อเพิ่มอรรถรส ยังคงคอนเซ็ปเดิมค่ะ เที่ยวไทยถ้าไปคนเดียวไม่ได้ ก็แย่แล้ว เส้นทางปีนี้แม้จะเริ่มที่เชียงใหม่ ไปปาย แต่คราวนี้ไม่ยอมพลาดปางอุ๋งอีกแล้ว แวะดอยแม่อูคอ ออกแม่แจ่ม ขึ้นดอยอินทนนท์ และยิงยาวกลับกรุงเทพมันซะเลย เอาให้สะบักสะบอมกันไปข้าง ไม่รถก็คนละงานนี้ ^_^


จริงๆ แล้วทริปนี้เป็นอะไรที่ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้ไป วันหนึ่งได้คุยกับเพื่อนที่เคยขึ้นปายด้วยกันเมื่อปีที่แล้วว่าปีนี้เขาก็จะขึ้นอีก แต่เขาจะขี่จากกรุงเทพกันตั้งแต่วันที่ 4 ไอ้เราก็ไม่สามารถหยุดงานได้ตั้งแต่วันนั้น เพื่อนก็บอกว่าตามมาขึ้นปายวันที่ 7 ก็ได้นี่ อืม...น่าสนใจ แต่ให้ขี่จากกรุงเทพคนเดียวใจก็ยังไม่กล้าพอ เกิดอะไรขึ้นคงจะลำบาก เลยตัดสินใจเอาขึ้นรถไฟมาเหมือนเดิม ปีนี้โชคดีหน่อยจองได้ได้รถไฟชั้นสองตู้นอนพัดลม ตั้งใจเลือกพัดลม เพราะอากาศดีๆ แบบนี้...

ตื่นเช้ามามีอาหารเช้ามาเสริฟถึงที่ ความสบายผิดกับปีที่แล้วลิบลับ นอนหลับสบาย...แต่เสียอย่างเดียว หวานเย็นเช่นเคย กว่ารถไฟจะออกก็ล่าช้าไปกว่าชั่วโมง (ทีปีที่แล้วเราไปช้า รถไฟดันออกตรงเวลาแป๊ะเลย) ไม่ต้องคิดละว่าจะถึงตรงเวลา...ช้าหลายชั่วโมงชัวร์ แล้วก็จริงดังคิด...ถึงช้าไปเกือบสามชั่วโมง

คราวนี้รถขนาด 800cc คิดค่าระวางแค่ 1350 บาท ทีหนูดี (คันเก่า) หนักน้อยกว่าตั้งเกือบ 50 kg ดันคิดค่าระวางตั้ง 1190 บาท เป็นงง...

เพราะถึงช้า...เราก็ต้องใช้เวลาชิวๆ ไปเรื่อย
...ภาพชีวิตแม่ค้าริมทางรถไฟ
...อีกทั้งบรรดาหมาๆ ที่อ้วนพี พอเห็นรถไฟมาจอด ก็วิ่งเข้ามาอย่างรู้งาน มายืนทำตาละห้อยขอของกินกันเป็นแถบ ก็ได้กินสมใจเขาล่ะ เพราะบรรดาอาหารที่แม่ค้าเอามาขาย ไม่ว่าจะเป็นไก่ย่างหรือหมูทอดล้วนแต่แข็งจนกินได้ลำบากนัก ทำให้บรรดาหมาๆ ลาภปากไปซะงั้นเลยค่ะ ^_^
…หัวรถจักร รฟท. ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ ...จริงๆ มันน่าจะไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้แล้วรึยังนะ?

เหยียบเชียงใหม่ปุ๊บ บึ่งไปบ้านเพื่อนสาวชาวเชียงใหม่คนเดิม ที่ต้อนรับขับสู้ดีเสมอ ...ไม่ต้องพักหายใจหายคอกันเลย รถใหม่ต้องเพิ่มความมั่นใจด้วยการเอาไปลุยทางเขาซักหน่อย แต่เย็นแล้วก็ต้องเลือกไปใกล้ๆ จึงตกลงใจเลือกไปพิสูจน์ถนนเจ็ดพับบนเส้นทางสายสะเมิงกันนั่นเอง

คราวนี้เพื่อนสาวไม่น้อยหน้า เอารถคู่ใจไปลุยเป็น Honda Transalp 600 ซึ่งสูงไล่เลี่ยกันเลยทีเดียว


กว่าจะถึงจุดชมวิวก็เย็นย่ำ...ทันเห็นแสงสุดท้าย ยิ่งทำให้ภาพวิวทิวทัศน์สวยขึ้นได้อย่างน่าประทับใจ อากาศเย็นมาเยือน...บ่งบอกให้ได้สัมผัสรับรู้ว่า “สมกับเป็นหน้าหนาว และเทศกาลขี่รถท่องเที่ยวที่รอคอย”

ใจจริงไม่ได้สนใจงาน bike week แม้แต่น้อย แต่ไหนๆ ก็ผ่าน เลยแวะเข้าไปชมเสียหน่อย ในงานไม่ค่อยคึกคัก แม้ปีนี้จะไม่ได้เก็บค่าเข้าเสียด้วยซ้ำ

ได้มีโอกาสได้ลองขี่ HD ตัวนี้ (จำรุ่นไม่ได้) บังเอิญถามเซลล์เล่นๆ ว่าลองได้ไหม ปรากฏว่าได้...เอาออกไปซัดถนนนอกงาน ของเขาดีจริงๆ ทำเอาติดใจเลยค่ะ ^_^


เช้าวันที่ 7 ออกเดินทางขึ้นปายตอนเที่ยงตรง ปีนี้รวมรวมได้ 6 คัน ไม่ซ้ำรุ่นกันเลย... ขี่กันไปสบายๆ สไตล์ใครสไตล์มัน เน้นปลอดภัยเป็นหลัก วันที่ขึ้นคนอื่นเริ่มลง...รถขาขึ้นเลยไม่เยอะเท่าไหร่ รถสวนลงมีมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไปซะ อิอิ

ระหว่างทางเจอ BB ไม่เยอะเท่าปีที่แล้ว...มีแค่พอประปรายให้โบกมือทักทายกันเล็กน้อย

กับเพื่อนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มเดิมที่เคยแจมขึ้นปายเมื่อปีที่แล้ว แต่ปีนี้คึกคัก เพราะนอกจากรถมอเตอร์ไซด์ทั้งหมด 6 คนที่ว่า ยังมีรถขับตามขึ้นมาอีกสามคัน เราพักกันที่รีสอร์ท...รักริมปาย จริงๆ แล้วก็เอาเต้นท์ไปเหมือนเดิม แต่ในเมื่อเต้นท์ของโรงแรมออกจะกล้างขวางใหญ่โต จะปฏิเสธไปไย หน้าเต้นท์เป็นนาข้าง และมีแปลงปลูกผักโดยรอบ อยู่ติดกับแม่น้ำปาย ^_^ โรแมนติกมาก แต่...นะ มาแบบไร้คู่


โฉมหน้าผู้ร่วมขี่ในทริป ในอิริยาบทต่างๆ และบรรยากาศระหว่างเดินทาง



เย็นย่ำค่ำคืน...การไปเดินถนนคนเดินที่ปาย เป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ได้...ว่าเป็นสิ่งจำเป็น บนถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไทย ข้าวของมากมายที่นำขาย...ล้วนแล้วแต่เป็นของแฮนเมด หรือไม่ก็เป็นของที่บ่งบอกว่ามาจากหัวคิดของพ่อค้าแม่ค้าที่รักอิสระภาพ แล้วนำพาชีวิตตนออกจากความวุ่นวายของสังคมมาใช้ชีวิตชิวๆ อยู่ที่นี่
...อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้ นั่นคือ ถนนนี้เป็นถนนแห่งอาหารการกิน มากมายหลายหลาก...ให้เลือก กินกันจนพุงกางก็ยังมีของที่อยากกินอีกตั้งหลายอย่าง
...และกิจกรรมสุดท้ายที่ขาดไม่ได้...นั่นก็คือ การลอยโคม ^_^


เช้าวันรุ่งขึ้น โปรแกรมถัดไปคือ ถ้ำน้ำลอด มุ่งหน้าจากปายไปทางปางมะผ้า
...แม้ในทริปจะมีคนที่รถมีปัญหาแต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ
...รถเต่าเปิดประทุนคันนี้ คนขับอุตสาห์ขับมาจากกรุงเทพเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อมาเปิดประทุนที่นี่ อยากจะบอกว่ารถน่ารักชะมัดเลย

จากถนนหลัก...เข้าไปอีกประมาณ 8 กิโลเมตร ดำเนินการโดยชาวบ้านในพื้นที่ ถ้ำน้ำลอด...ได้ชื่อมาจากการลักษณะของถ้ำที่แม่น้ำลอดเข้าไป


เมื่อล่องแพเข้าไป ก็จะมีการจอดยังจุดต่างๆ เพื่อให้เราเข้าไปเดินเที่ยวชมในถ้ำต่างๆ ซึ่งมีถ้ำหลักๆ 3 ถ้ำ ซึ่งแต่ละถ้ำก็ต้องเดินขึ้นไปสูงเอาเรื่อง เล่นเอาลิ้นห้อยเลยทีเดียว

การดำเนินงานในพื้นที่ท่องเที่ยวกระทำโดยชาวบ้านท้องถิ่น แพหนึ่งลำนั่งได้ 4-5 คน ค่าบริการ 450 บาท ต่อการเข้าชมทั้งสามถ้ำ (แต่ใครจะเข้าไปไม่ครบกันละเนี่ย) และบวกอีก 150 บาทสำหรับค่าไกด์ 1 คน

ภายในถ้ำ...หินงอกหินย้อนอันแสนสวยงาม ได้รับการตั้งชื่อต่างๆ ตามแต่จินตนาการ

ออกจากตรงถ้ำลอดก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น...แยกออกมาเดินทางต่อคนเดียว ตั้งใจจะไปนอนปางอุ๋งให้ได้ เพราะพลาดไปเมื่อปีที่แล้ว ขี่ทำเวลาเต็มที่เพราะนี่ก็ใกล้จะมืดเต็มที กว่าจะเฆี่ยนไปถึงปางอุ๋ง หรือบ้านรวมไทยก็โพล้เพล้แล้ว ตัดสินใจเลยเข้าไปนอนที่บ้านรักษ์ไทยดีกว่า เพราะว่ามีโรงแรมแน่ อยากนอนสบายๆ ขึ้นมาซะงั้น...กลายเป็นปีนี้เต้นท์เป็นหมันไม่ได้ใช้ซะงั้น

ขี่ไปถึงหมู่บ้านรักษ์ไทย พร้อมกับแสงสุดท้ายที่จากไป ความรู้สึกแรกที่คิด...หมู่บ้านอะไรเนี่ย ไม่เห็นสวยเลย แต่เพราะมืดแล้ว ไม่มีทางเลือก...ขี่ดุ๋ยๆ ไปจอดหน้าร้านขายชา เดินไปถามว่ามีโรงแรมที่ไหนบ้าน ปรากฏว่าร้านนี้เขามีโรงแรม จึงให้เด็กพาไป... เด็กร้านขี่มอเตอร์ไซด์นำไปตามทางลูกรังหลังร้าน ไอ้เราก็คิดในใจ...เอาไงดีวะ ไว้ใจได้มั๊ยวะเนี่ย แต่เห็นโรงแรมอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก ดูดีทีเดียวเชียว...จึงโอเค

ตกกลางคืน...ตอนแรกก็ขี้เกียจออกไปไหน ก็แหมรถเราเองก็แสนจะใหญ่ เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วใครจะอยากขี่ ต้มมาม่ากินไปหนึ่งห่อ แต่ก็ไม่ชนะความหิวที่มี จึงเดินออกไปขอยืมรถมอเตอร์ไซด์เด็กดูแลโรงแรมออกไปขี่เที่ยวหมู่บ้านมันซะเลย พอได้ขี่ออกไปตามซอกซอยและได้มีเวลาพินิจพิจารณามากขึ้น และได้ไปแวะที่ร้านอาหาร “ลีไวน์รักไทย” ซึ่งอยู่ติดริมบึงใหญ่ เอ...หมู่บ้านนี้สวยมากเลยทีเดียว แถมได้ไปเห็นอาหารที่เขานั่งๆ กินกันอยู่ โอว...ขาหมูยูนาน หมั่นโถ อดใจไม่ไหวซื้อมากินทั้งๆ ที่ขามันใหญ่มาก รู้เลยว่ากินไม่หมด กะว่าเอาไว้กินเป็นมื้อเช้าต่อก็แล้วกัน แต่ที่ไหนได้...ตื่นมาซุปขาหมูแข็งกลายเป็นเยลลี่ไปหมดเลยซะงั้น เสร็จคุณหมาๆ แถวนั้นเลย -_-

ตื่นแต่เช้าด้วยความแจ่มใสสดชื่น คิดในใจว่าดีใจมากที่ไม่ได้นอนเต้นท์ เพราะเมื่อคืนหนาวมาก ออกเดินทางจากบ้านรักษ์ไทย 9 โมงตรง จุดแรกที่แวะเยี่ยมเยือน...หนีไม่พ้นปางอุ๋ง หรือ บ้านรวมไทย กว่าจะความหาในแผนที่เจอว่าเจ้าปางอุ๋งนี่มันอยู่ตรงไหน ก็เกือบจะเข้าไปผิดไปหมู่บ้านปางอุ๋งแถวๆ ดอยแม่อูคอซะแล้ว

ปางอุ๋งเป็นพื้นที่ปลูกป่า ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริ ในบริเวณมีอ่างเก็บน้ำ บ้านพักของทางราชการ และลานกลางเต้นท์ แต่ถ้าใครไม่อยากนอนเต้นท์ แถวนี้ไม่มีโรงแรมแม้แต่ที่เดียว จะมีก็แต่โฮมสเตย์ ซึ่งเป็นบ้านของชาวเขาในบริเวณนั้นที่ทำอย่างเป็นลำเป็นสัน...มีการตกแต่งน่ารักน่าอยู่ไม่น้อยเลย


...เขาว่าในปางอุ๋งมีหงส์...สองตัว ขาวกับดำ แต่วันนี้เห็นแต่สีขาวตัวเดียวเอง แถมอยู่ลิบๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
...มาคราวนี้คงเพราะเป็นช่วงวันหยุดที่ไม่ติดกันยาว จึงมีคนทยอยขึ้นสลับกับลงเป็นระยะ ทำให้ปริมาณผู้คนไม่แออัดยัดเยียด ออกแนวสบายๆ ^_^


จากปางอุ๋งมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เสียงตามสาย...บอกให้ไปรับใบประกาศนียบัตรด้วย แต่...ม่ายอาววว ขี้เกียจรอ ขนาดว่าจะแวะวัดในเมืองยังบายเลย ยิงยาวสู่ดอยแม่อูคอ ไปดูทุ่งดอกบัวตองดีกว่า แม้จะไม่บานสะพรั่งนัก แต่ก็เหลืองอร่ามเต็มยอดดอย นี่ขนาดไม่ใช่สัปดาห์ที่สวยที่สุด ยังสวยสดงดงามได้น่าประทับใจขนาดนี้ ถ้ามาช่วงพีคจะขนาดไหนเนี่ย

ยืนชื่นชมอยู่ซักพัก ดูนาฬิกา...ตายละวา สองโมงกว่าแล้ว โครงการแวะน้ำตกแม่สุรินทร์เป็นอันต้องพับไป แผนต่อมาคือจากที่ดูใน google map มันมีทางไปออกสะเมิงได้ แต่จาก GPS ที่ติดไปมันบอกว่าต้องลงมาตัวเมืองเชียงใหม่ ก็เลยพับไปอีกหนึ่ง

สรุปก็คือขี่ไปทางแม่แจ่ม ผ่านดอยอินทนนท์ แล้วลงเชียงใหม่ ทางจากดอยแม่อูคอไปแม่แจ่มไม่ค่อยดี ชำรุดพอสมควร ส่วนทางบนดอยอินทนน์ก็มีดินถล่มจนถนนพังอยู่สองช่วง แม้จะไม่ได้ไปซ้ำที่สะเมิง แต่เส้นทางจากดอยแม่อูคอจนมาถึงดอยอินทนนท์ก็ให้อรรถรถเต็มใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ทางเขาโค้งแคบและชันพอสมควร กว่าถึงเชียงใหม่หกโมงเย็นพอดิบพอดี ^_^ เล่นเอาหมดแรงเลย เพราะวันนี้ขี่ไปกว่า 300km. ทางเขาล้วนๆ

ตอนแรกก็กะว่าจะเอาขึ้นรถไฟกลับเหมือนเดิม แต่ขามาก็หวานเย็นซะจนเลี่ยน เลยชักขยาด พอดีมีเพื่อนจากก๊วนปายขี่กลับกันหลายคัน เลยเอากะเค้าด้วย แต่ตื่นเช้า (วันกลับ) ปวดเมื่อยมาก คิดว่าจะเบี้ยวดีมั๊ย แต่กัดฟันคิดว่าเป็นการฟิตร่างกาย เพราะการมีรถอยู่ในมือแล้วนั้น...ถ้าไม่ขี่จะมีไปทำไม ขากลับขี่กันสบายๆ (แต่ก็มีบางช่วงกดไปสองกว่า o_O’ โอ...รถมันช่างตอบสนองได้ดีเหลือเกิน)ออกจากเชียงใหม่ 11 โมง ถึงกรุงเทพ 6 โมงแป๊ะเลย

จากทริปนี้...แม้รถจะสูง ทำให้เสียวไส้อยู่ไม่น้อย เวลารถติดนาน เพราะน่องพาลจะเป็นตะคริว แต่สมรรถนะของรถไม่ต้องพูดถึง เรียกว่ารักกันไปแล้วตอนนี้ ขี่ง่าย เป็นรถที่บาลานซ์ดีมากๆ เครื่องตอบสนองทันใจ สำหรับแรงสุภาพสตรีกับความเร็วสองร้อยนิดๆ น่าจะเพียงพอต่อความสามารถในการเกาะไม่ให้ตกรถไปซะก่อน

จบทริปด้วยความม่วนอีกครั้ง...ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ

ปล.ปีนี้ยำรูปเป็นก้อน จะได้ไม่ยาวเกิน และดูเพลินตา (รึเปล่าไม่รู้) ติชมกันได้ค่ะ

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทริปเก่า...ทิ้งหนูดี (รอบสอง) ขี่ FZ1 ตะลุยเหนือ เลาะตะเข็บชายแดน ลาว-ไทย-พม่า [ตอนที่ 2]

อ้ะๆ นี่คือตอนที่สองนะคะ อย่าลืมอ่านตอนแรกก่อน เด๋วได้อรรถรสไม่ครบค่ะ

มาตลุยต่อกันเลยค่ะ ^_^


จากตัวเมืองน่าน มีจุดหมายที่เชียงราย แต่อย่างไรก็ต้องขี่ที่น่านให้ได้มากสุด เพราะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าทางสวยๆ พลาดไม่ได้ จากตัวเมืองน่าน (1080)ผ่านท่าวังผา (1148) สองแคว ไปเชียงคำ มาทางจุน (1021) เข้าพะเยา


เส้นทางในน่าน ถนนเรียบดี ทำโค้งรับ คอสะพานไม่กระเดิด คุณสมบัติเหล่านี้เป็นที่ชอบใจขอบเหล่า biker ยิ่งนัก




ยิ่งถนนช่วงสองแควขึ้นไปแล้วด้วย โค้งสวยมากๆ แต่อาจจะไม่ถูกใจคอสปอร์ตเท่าไหร่นัก เพราะโค้งค่อนข้างแคบ แถมโค้งกว่าตัว U อีก มันเหมือน U บีบๆค่ะ แต่ถ้าใครชอบโค้งลึกๆแล้วละก็ถูกใจสุดๆ


วิวก็สวย...




แวะกินข้าวกลางวันพี่กว๊านพะเยา ในภาพเป็นวัดกลางน้ำที่คาดว่าจะจมอยู่ใต้กว๊าน เพราะมีป้ายติดไว้ว่า โครงการกู้วัดติโลก


บรรยากาศบริเวณกว๊าน ที่นี่ได้เจอก๊วน biker ฝรั่งที่พร้อมใจกันใส่เสื้อทีมชื่อว่า “ไม่เป็นไร” ทักทายกันตามประสา biker เล็กน้อย ได้ความว่าขี่มาจากเชียงใหม่มากินข้าว 555


มุ่งหน้าสู่เชียงราย (1) เป้าหมายของแหล่งที่พักในคืนที่สามคือ ภูใจใส แยกจากสายเอเชีย เข้าสู่ 1130 ประมาณ 10KM ผู้จัดการ nice มากๆ และก็วิวสวยมาก สำหรับวันที่สาม ขี่ไป 380km แต่ทางเขาทั้งน้าาาาน เริ่มอยู่ตัว เพราะความเมื่อยและเพลียลดลงอย่างเห็นได้ชัด


วันที่สี่ของการเดินทาง กว่าจะออกจากภูใจใสก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง เพราะได้ทำการเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทาง พบว่า GS ยางรั่ว ส่วน FZ1 ก็น้ำในหม้อน้ำเกือบแห้ง วันนี้ไม่มีแผนเป็นเรื่องเป็นราว รู้แต่เพียงว่าเย็นนี้จะไปนอนที่เชียงใหม่ กางแผนที่ดู...ก็เลยตกลงใจจะไปกินข้าวกลางวันกันที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยวิ่งไปตามเส้นทางสาย 1 แล้วแยกขวาเข้า 1290


ตัดสินใจลัดเลาะเลียบแม่น้ำโขงไปเชียงแสน และต่อไปยังเชียงของ เพราะจากความทรงจำเมื่อห้าปีที่แล้ว จัดเป็นเส้นทางที่สวย และถนนดี แต่ก็นะ...ห้าปีผ่านไป ถนนจัดว่าแย่เลยค่ะ ทำให้กว่าจะถึงเชียงของปาเข้าไปเกือบบ่ายสามโมงเย็น แต่วิวข้างทางก็ยังสวยงามเหมือนเดิม


ถ้าไปเชียงแสนตามเส้นทาง 1129 (คือเส้นทางตามป้าย) จะทำให้ได้สัมผัสบรรกาศเลียบฝั่งริมแม่น้ำโขงลดลง จะมีสามแยกที่บอกว่าเชียงของเลี้ยวขวา(ทิศทางจากเชียงแสน) ให้ตรงไป ทางน่าจะยังดี เพราะไม่ใช่เส้นทางที่รถบรรทุกวิ่งผ่าน ตัวเองเคยได้สัมผัสบรรยากาศนี้แล้ว แต่เป็นการขี่จักรยานสมัยยังละอ่อนค่ะ 555


หน้าบ้านคุณเอ้ biker ที่แสนน่ารักและใจดีที่เชียงใหม่ค่ะ จากเชียงของกว่าจะกลับเข้าเส้นหลักได้ (1) เส้นทางแย่มากๆค่ะ บางช่วงกำลังทำถนน ดีที่ติด GPS ไปเลยใช้มันนำทาง ย่นระยะไปได้เยอะ มีอยู่โค้งนึงมีกรวดเม็ดแบบกรวดก่อสร้างร่วงอยู่เยอะมาก ขนาดขับ 60km/h รถยังไถลเลยค่ะ เกือบไปเหมือนกัน แถมน้องหมาเยอะอีกด้วย จากเชียงราย (1) แยกเข้า 118 ที่แม่ลาว ผ่านวังเหนือ ดอยสะเก็ดมุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ ถนนช่วงแม่ลาวก่อนถึงแม่สรวย รู้สึกว่าหน้ายางมะตอยค่อยข้างลื่นคะ เพราะคุยแล้วคนที่ขับ GS ก็เป็นเหมือนกัน แต่หลังจากนี้ถนนสวยมาก เป็นโค้งกว้างประกอบกับถนนดี จัดเป็นโค้งที่ทำความเร็วได้สูง ขณะขับบนเส้นนี้ก็เริ่มมืดแล้ว กว่าจะไปถึงเชียงใหม่ก็เกือบสองทุ่มแน่ะ


จริงๆแล้ว คุณเอ้ก็ชวนให้นอนที่บ้านเช่นเคย แต่ด้วยความที่เกรงใจ คราวที่แล้วก็เบียดเบียนไว้เยอะ เช้าวันศุกร์รีบตื่นกันแต่เช้า กะจะออกจากเชียงใหม่ไม่เกินแปดโมง แต่ก็เลท เพราะแวะไปดูรถใหม่ของเอ้ก่อน ก็เลยกลายเป็นเก้าโมง คืนนี้เรากะจะไปนอนที่ตากกัน แต่ก็นะ...ไม่มีง่าย เลยตกลงใจไปทางออบหลวง (108 ออกจากเชียงใหม่ไปทางดอยอินทนนท์) แวะถ่ายรูปกับป้ายซะหน่อย คิคิ เส้นทางไม่ค่อยดีค่ะ ไม่ทำโค้งรับ ทางก็แย่ บางช่วงก็ทำทางอยู่ด้วย


ถึงแม่สะเรียง ก็พยายามขี่หาร้านกินข้าวตามที่ชาวบ้านบอก จึงได้สัมผ้สบรรยากาศสวนผัก อย่างใกล้ชิด




แยกซ้าย จากแม่สะเรียงเข้า 105 มุ่งหน้าแม่สอด มีช่วงนึงทางแย่สุดๆ จริงๆ ทั้งแคบ และหน้ายางมะตอยไม่เหลือ เป็นระยะทางกว่า 60km ทำเอาคนบางคนเมาโค้งเลยค่ะ...หุหุ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสายตา เช่นสายตาสั้น หรือเอียง แนะนำอย่างยิ่งนะคะ เวลาที่ขี่ในที่ต้องใช้สายตามาก ให้ใส่แว่นค่ะ จะช่วยให้ไม่เมาโค้งหรือปวดหัว เพราะถ้าไม่ใส่แว่นมันจะเป็นการใช้สายตามากเกินไป


เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เลียบชายแดนไทยพม่า ด้วยความที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับความเปลี่ยวและกิตติศัพท์ว่ามีการจี้ปล้นพอสมควรทำให้เราพยายามขี่ให้เร็วที่สุด เพราะช่วงถนนในรูป ระหว่างทางเจอมีรถผ่านน้อยมาก ไม่ควรไปกลางคืนนะคะ เสี่ยงเกินไป กว่าร้อยกิโลมีรถสวนไม่ถึงสิบคันเลย


พอพ้นช่วงที่แล้วเราก็เจอช่วงถนนที่กำลังก่อสร้างแบบนี้ คาดว่าน่าจะต่อเนื่องไปถึงแม่สะเรียงในที่สุด ปล. GS วิ่งฉิวสบายเลย ไอ้เรานะก้นระบบไปหมด เสียวจะไถลด้วย 55


หลุดจากช่วงทางลูกรัง พยายามหาร้านขายของตั้งนาน ไม่มีเลย...กว่าจะเจอ แวะพักกินน้ำกันซักกะหน่อย




พอพ้นช่วงทางลูกรังมาได้ ก็เข้าสู่เส้นทางดีๆแบบนี้ ต้องรีบทำเวลาเพราะออกจากร้านค้าก็เกือบสี่โมงแล้ว




ท้ายที่สุด ตอนแรกตั้งใจจะไปนอนอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช รำลึกความหลังวัยเยาว์ ก็ไม่สำเร็จ เพราะกว่าจะถึงที่ริมเมยก็ห้าโมงกว่า ตกลงใจนอนที่นี่ดีกว่า นอนในแม่สอดค่ะ เต้นท์และอุปกรณ์แคมปิ้งที่แบกมาเป็นหมัน ไม่ได้ใช้เลย 555 (แต่คนแบกไม่ใช่เรา ไม่เป็นไร) ใครมาที่นี่ไปนอน โรงแรมเซ็นทาราเลยนะคะ คืนละพันกว่าๆเอง เสียน้อยเสียยาก เลยนอนโรงแรมราคาถูก แต่คืนละพัน (ถูกกว่าตรงไหนเนี่ย T_T) ตอนแรกคู่หูเค้าอยากขี่คันนี้ แต่ก็อด เลยให้ถ่ายรูปคู่กันซะหน่อย


รุ่งขึ้นออกเดินทางกันแต่เช้า กะว่าจะออกไม่เกินเจ็ด แต่กว่าจะออกก็แปดโมงได้หล่ะ เพราะว่ามีนัดไปเที่ยวกับที่บ้านต่อ ก็เลยต้องรีบกลับ ทางช่วงนี้สวยมากๆ ยิ่งมีช่วงที่เจอหมอกสวยสุดๆ แต่ด้วยความที่หมอกหนาก็เลยไม่กล้าจอดถ่ายรูปช่วงนั้นมาให้ดูกัน


แวะเข้าไปเยี่ยมชมซักเล็กน้อย ให้สมความตั้งใจที่อยากจะแวะมาย้อนความหลัง ว่าเคยมาตอน ม.3 คิดดูว่านานขนาดไหน แล้วก็รีบตีเข้ากรุงเทพโดยด่วน เข้านครสวรรค์ ผ่านอยุธยาถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ เตะชายขอบกรุงเทพราวเที่ยงครึ่ง แต่กว่าจะฝ่าการจราจรอันย่ำแย่ไปถึงบางนาโน่นบ่ายสองกว่าเลย และแล้วทริปนี้ก็จบลงอย่างสวยงาม ส่วนเจ้า FZ1 เละมากๆ ไม่เหลือเค้ารถสปอ์ตเลย ด้านหน้าเต็มไปด้วยซากแมลงเกาะ ด้านหลังเต็มไปด้วยขี้โคลน 555

และแล้วการเดินทางก็จบลง เจอกันใหม่ค่ะทริปหน้าค่ะ

ทริปเก่า...ทิ้งหนูดี (รอบสอง) ขี่ FZ1 ตะลุยเหนือ เลาะตะเข็บชายแดน ลาว-ไทย-พม่า [ตอนที่ 1]

จริงๆ ทริปนี้เป็นทริปเก่าเก็บ คือไปตั้งแต่ต้นปี 52 ราวๆ เดือนกุมภาพันธ์ และได้โพสไว้ในเวป stormclub นานแล้ว แต่เพิ่งจะมีโอกาสนำมารวบรวมไว้ด้วยกันที่นี้ เพราะกำลังจะเปิดฤดูขี่รถกันอีกครั้ง หลังฝนซาและเมื่อลมหนาวมาเยือน เสมือนเป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาขี่รถเที่ยวกันได้แล้ว ^_^ แต่ก่อนจะมีทริปใหม่มาเล่าสู่กันฟัง ขอนำทริปนี้มาเรียกน้ำย่อยกันก่อนก็แล้วกันค่ะ

เช่นเคยค่ะ...ดูภาพ อ่านเรื่อง กางแผนที่ ...จะเห็นว่ามีตัวเลขกำกับในช่วงต่างๆ นั่นคือเลขของเส้นทางสายถนนที่ใช้ค่ะ ใครจะขี่ตามเส้นทางเหล่านี้ได้เลยไม่มีลิขสิทธิ์แต่อย่างใดค่ะ


ทริปนี้เป็นอะไรที่ยาวมาก (6 วันเต็มๆ) ล่องขึ้นเหนือไปเรื่อย เริ่มต้นที่กรุงเทพ จุดหมายคือแต่ละจังหวัดที่คาดไว้ในแต่ละวัน เริ่มจาก ผ่านเพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย แวะน่าน เชียงราย เชียงใหม่ และจบที่ตาก จังหวัดที่กล่าวเป็นจังหวัดที่ได้แวะท่องเที่ยว แต่ทางผ่านไม่นับ (เพราะถ้านับจริงๆก็เกือบจะทั่วเหนืออยู่แล้ว ฮา...) ที่ตัดสินใจลองขี่ไกลขนาดนี้ เพื่อเป็นการลองดูก่อน เพราะตั้งใจว่าอยากจะขี่ออกนอกประเทศแน่ๆ ถ้าทริปนี้รอดก็เป็นอันว่าโอ...และแล้วก็รอดปลอดภัย จบทริปด้วยระยะทางเกือบสามพันกิโลเมตร

ปล.ด้วยความที่ทริปมันยาวมาก ก็เลยต้องยอมทิ้งหนูดีไว้ก่อน รอกล่องแต่งก็ไม่มาซักที เพราะช่วงภาคกลาง ถ้าได้ซัก 130-140 km.จะได้พอทำเวลาได้หน่อย


เริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 5:30AM ของเช้าวันที่ 2/2/52 เพราะกลัวรถติดกว่าจะผ่าเมืองไปฝังรังสิตได้คงจะแย่แน่ ทำเวลาได้ดี สามารถมาจอดแวะเติมน้ำมันยังปั๊ม ปตท.(ที่แวะประจำ)ได้ตั้งแต่ยังไม่ถึง 6 โมง ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ยุ่งเหยิงเพราะ คู่หูกว่าจะนำรถมาให้แพคของก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม ก็เลยมีการกลั่นแกล้งด้วยการบรรทุกๆอย่างลงใน GS หมด (อืม...บ้า long way down ดีนัก 555)จริงๆแล้วตอนแรกกะว่าจะขี่GSในทริปนี้ ก่อนออกนอกเมืองก็บอกว่าของเยอะ พอออกนอกเมืองแล้วก็บอกว่ารถยังเยอะอยู่เลย สุดท้ายก็บอกว่าของหนักไม่ขี่แล้ว 555


ร้านกาแฟน่ารักๆ ที่สามารถจอดรถแวะชมวิวสวยๆ ระหว่างทางจากเพชรบูรณ์เมืองมะขามหวาน มุ่งหน้าสู่พิษณุโลก พร้อมกับเป็นการ “พักก้น”ซักนิดหน่อย ตั้งใจจะกลับไปเยือนภูหินร่องกล้า ที่เคยไปมาเมื่อตอนค่ายวิทยาศาสตร์สมัยมัธยมต้น(นานมาก) ด้วยความที่นอนกันน้อยมากทั้งสองคน ช่วงแรกของการขี่ผ่านถนนพหลโยธิน(1)ผ่านสระบุรีมุ่งหน้าเข้าลพบุรี(21)ทางตรงแหน่วจึงออกแนวง่วงๆ ช้าๆ บวกกับอากาศที่เริ่มร้อนแล้ว จากที่ยังเย็นๆ ร้อนซะงั้น เหมือนปิดสวิทซ์เลย ก็เลยขี่เรื่อยๆ มุ่งตรงอย่างเดียวเข้าสู่เพชรบูร์ณราวเที่ยง แวะกินของว่าเที่ยวที่ coffee hill (บนถนน 12)


เดินทางต่อสู่ภูหินร่องกล้า ซึ่งสามารถเดินทางเข้าได้ 2 ทาง แต่ตัดสินใจเข้าทางถนนหมายเลย 12 แล้วเข้าสู่ 2013 แทนการเข้าทางทับเบิก (2331) เพราะกลัวว่าทางจะแย่เกินกว่า FZ1 จะรับไหว


เริ่มขึ้นภูก็เริ่มครึ้มเหมือนฝนจะตกเลย ใจก็ตุ้มๆต่อมๆ ถึง ลานหินแตก ก่อนเป็นจุดแรกที่แวะเที่ยวราวบ่ายสองกว่าๆ ความงามที่ธรรมชาติรังสรรค์บรรจงสร้างทำให้อดคิดถึงความยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ตัวน้อยๆอย่างเราไม่มีวันเทียบได้


จุดที่ยังไงก็ต้องไปนั่นคือ ลานหินปุ่ม เพราะจำได้ว่ามันสวยมาก แต่...แม่เจ้าต้องเดินอีกตั้งกิโลกว่า ขี่มาตั้งไกล...ต้องเดินอีก แต่ก็นะมาแล้วนี่นา แต่พอถึง...คุณจะรู้ว่ามันคุ้มมาก


กว่าจะเดินกลับมาก็ปาเข้าไป 16:00PM เหงื่อตก หาน้ำกินมะได้เลย (ไม่ได้พกไปซักขวด) จริงๆแล้วแผนคือเข้าไปกินข้าวกลางวันกับ biker ชาวพิษณุโลก แต่ก็เลทไปเยอะ เมื่อติดต่อไปก็เป็นอันว่ายังรอเจออยู่ เราจึงไปนัดไปกินข้าวกันที่ Resort rain forest ขอขอบคุณเพื่อน biker ชาวพิษณุโลกที่อุตสาห์รอกินข้าวด้วย จะแย่งกันเลี้ยงข้าว และขี่ไปส่งยังถนนเส้นทางต่อไปสุโขทัย


สภาพเส้นทางถนนหมายเลย 21 ซึ่งมีโค้งสวยๆ พอสมควร แต่ถนนจะดูแห้งๆ ลื่นๆ (ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า เอิ้กๆๆ)


ระหว่างเส้นทาง เราสามารถพบเห็นวัดวาอารามณ์และปฏิมากรรมที่สวยงามได้ตลอด ชวนให้หยุดถ่ายรูปภาพยิ่งนัก แต่ถ้าขืนหยุดทุกวัดก็คงไม่ถึงที่หมายปลายทางเป็นแน่แท้


ภาพโบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


คืนแรกตัดสินใจทำตามที่วางแผนไว้คือเข้ามานอนที่ตัวเมืองสุโขทัย กว่าจะถึงโรงแรมก็ปาเข้าไปสามทุ่ม เบ็ดเสร็จวันแรกขี่ไป 490KM เข้าพักที่โรงแรมไพลิน (ออกจากตัวเมืองมุ่งหน้าไปทางตาก) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยที่เราจะไปลุยกันในเช้าวันรุ่งขึ้น


ภาพโบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


ความงามของโบราณสถานบ้านเรา ถึงแม้จะไม่ยิ่งใหญ่อลังการเท่าของชาติอื่นที่เคยได้สัมผัสมา แต่ก็ให้ความน่าทึ่งไม่น้อยเมื่อนึกไปถึงวิวัฒนาการในการก่อสร้างในยุคสมัยนั้นว่าทำได้อย่างไร


ภาพโบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย




60km ออกจากตัวเมือง มุ่งหน้าสู่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยตามถนนสาย 101 ความต่างของสองอุทยานนี้คือสภาพภูมิทัศน์โอยรอบที่อันหลังร่มรื่นกว่ามาก


ปฏิมากรรมสวยๆ ภายในวัด แม้จะพบเห็นว่าถูกทำลายไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงความงามให้เห็นได้อย่างชัดเจน


ภายในความเก่าแก่ แค่เพียงจีวรหนึ่งผืน ก็สามารถทำให้พระพุทธหนึ่งองค์ สวยงามโดดเด่นประดุจมีชีวิต


มุ่งหน้าสู่น่าน ตามเส้นทางหมายเลย 101 ผ่านแพร่ ช่วงที่เป็นรอยต่อจากสุโขทัยเข้าแพร่จัดว่าเป็นเส้นทางที่สวยเส้นหนึ่งทีเดียว ก่อนจากสุโขทัยเติมพลังด้วยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ความแตกต่างของมันก็คือ มันใส่ถั่วฝักยาวซอยๆ ลงไปด้วยค่ะ


ต่อเนื่องจากภาพที่แล้ว โค้งสวย เส้นทางที่ดูร่มรื่น แต่ทางที่ผ่านจากแพร่เข้าสู่น่านนี่สิคะ แถวๆ อ.ร้องกวาง โค้งสวยจริงๆ ทางดีมากๆ แต่รถบรรทุกร่วมทางแย่โคตร แซงที่หัวใจจะวาย ไหนจะกินเลนส์แล้วยังขับเร็วอีก กลัวว่ามันจะเบรกแตก รึไม่ก็ท้ายปัดมากวาดเราไปนี่ก็จบกันเหมือนกัน เฮ้อ...กลุ้ม ก็เลยไม่มีรูปเส้นทางนี้มาให้ได้ดูกันนะคะ


ขี่ผ่านทางเข้าพระธาตุแช่แห้ง แต่ก็ไม่ได้แวะเข้าไป เพราะเริ่มจะมืด (ราวๆสี่โมงกว่า) จากรูปในหนังสือสวยมาก สงสัยต้องหาทางไปซ้ำ คืนที่สองนี้ เรานอนที่ตัวเมืองน่าน พักโรงแรมเทวราช จากการถามชาวบ้านในจังหวัดได้แนะนำโรงแรมนี้เหมือนกันถึงหลายคน วันที่สองสิ้นสุดการขี่รถด้วยระยะทาง 390km. หุหุ..ยังไม่ค่อยอยู่ตัว จัดว่าเหนื่อยเอาเรื่อง กินข้าวเสร็จก็งีบหลับไปตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม 555


คิดว่าคนที่คิดถังติดรถมอเตอร์ไซด์ น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่เห็นได้รอบตัวเช่นนี้ วันนี้ตื่นแต่เช้า (ที่จริงก็ไม่เช้าเท่าไหร่ ซัก 8โมงกว่าได้) ออกไปหาอะไรกินที่ตลาดฝั่งตรงข้ามโรงแรม แต่...สายไป ตลาดวายแล้ว สรุปหาโจ็กกินไม่ได้ (โรงแรมเค้ามีคูปองอาหารเช้าให้นะคะ เด๋วจะเข้าใจผิด และก็ที่จอดรถดีมาก)

การเดินทางผ่านไปได้ครึ่งทางแล้ว...แต่เพื่อไม่ให้เป็นการลำบากในการโหลดเพื่อติดตาม ขอต่อตอนที่สองใน blog ถัดไป อย่าลืมตามไปอ่านกันนะคะ