วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชุ่มฝน...ที่ "สังขละ"


ทริปดองเค็มเล็กน้อย จริงๆไปมาเมืื่อหน้าฝนของปีที่แล้ว ได้รับการชักชวนจากน้าบ๊วยว่าจะมีทริปไปสังขละกับชาว FotoFile มอเตอร์ไซด์ 7 คันและรถยนต์อีก 2 คัน ตอบตกลงอย่างไม่รีรอ 1.ไม่เคยไปสังขละมาก่อน 2.ไปกับชาวกล้องน่าจะมีรูปสวยๆเพียบ ทั้งๆที่เป็นหน้าฝนต้องเปียกโชคชุ่มฉ่ำแน่แต่ก็หาได้เกรงกลัวไม่รวมแล้วทั้งทริปมีนักบิดทั้งหมด 9 คน แม้จะเป็นรถขนาด 250 cc ถึง 7 คัน แต่เราก็ไปด้วยกันได้ 

ออกเดินทางคันเดียวจากกรุงเทพเมื่อเวลา3ทุ่มไปสมทบกับน้าบ๊วยที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วคืนแรกเราพักที่ทองผาภูมิ ถึงที่พักราวเที่ยงคืน ก่อนจะเดินทางต่อไปสังขละบุรีในวันรุ่งขึ้นส่วนทีม FotoFile จะออกจากกรุงเทพในคืนเดียวกันแต่ดึกกว่านั้นที่ตัดสินใจไม่รอเพราะกลัวจะง่วงจนหลับในระหว่างทางเสียก่อน ระยะทางจากกรุงเทพถึงสังขละ ร่วมๆ 350 km เห็นจะได้


เส้นทางจากแยกแก่งเสี้ยนไปจนถึงทองผาภูมิถนนดีมากๆ โค้งกว้างเรียกว่าเล่นโค้งได้อย่างสนุกสนานทีเดียวแม้จะมืดและถนนชื้นๆจากฝนที่ตกก่อนหน้านี้โชคดีที่คืนนี้ขณะเดินทางไม่เจอฝนตก




ออกจากรีสอร์ทที่ทองผาภูมิปั๊บฝนก็ตกลงมาทักทายให้ยินดีกันถ้วนหน้าอย่างทันที ตกปรอยๆสลับกับตกหนักโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องมุ่งหน้าไปถึงสังขละให้จงได้สังขละ


ข้อดีของหน้าฝนคือ ได้รับอากาศบริสุทธิ์ความสดชื่นเย็นฉ่ำกันแบบจุใจ
แต่ก็นะ...เปียกปอนด์และก็...หนาวเหน็บเป็นอย่างยิ่ง
อีกอย่างที่สำคัญ...ถนนลื่นต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นในยามขับขี่
แต่เพราะต้องขี่ช้าลง ก็ทำให้เรามีโอกาศได้ชื่นชมธรรมชาติได้นานขึ้น


วิวสวยๆตลอดเส้นทาง ค่อยๆขี่ดื่มด่ำความงามของธรรมชาติกันไปอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน 
สัมผัสกับอ้อมกอดของสายน้ำและขุนเขากันให้จุใจ


วิถีชีวิตอันเรียบง่ายและกลมกลืนไปกับธรรมชาติของชาวบ้านพื้นถิ่นช่างงดงาม
และดำเนินไปอย่างเชื่องช้าแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคง


สายน้ำในเขื่อนที่สงบนิ่งเป็นสายน้ำแห่งชีวิตหลากหลายคุณูปการหล่อเลี้ยงเหล่ามวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง 



แวะจอดไปเรื่อยตรงไหนสวยก็หยุดเป็นระยะๆ ...เก็บภาพกันเสียหน่อย


ขี่รถท่ามกลางผืนป่าหลากไม้นานาพันธุ์ที่เขียวขจีความเครียดก็ได้ถูกดูดซับไปจนหมดสิ้น 
ชาร์ทพลังงานไว้เป็นทุนแห่งใจกลับไปสู้งานต่อเมื่อกลับไปเผชิญชีวิตประจำวัน


และแล้วเราก็ถึงสังขละในเวลาบ่ายต้นๆ เราพักกันที่แพลุงเณร 

ที่พักที่นี่ก็มีมากมายหลายแบบ ตั้งแต่โรงแรมรีสอร์ทอย่างดี นอนในแพริมน้ำ หรือถ้าชอบความเป็นส่วนตัว จะนอนในแพแล้วให้เค้าลากไปลอยไว้กลางน้ำก็ยังได้ หรือตัวเลือกสุดท้าย...กางเต๊นท์



สะพานมอญอันเลื่องชื่อ ได้รับการบูรณซ่อมแซมให้แข็งแรงเมื่อไม่นานมานี้แม้จะขาดความขลังไปบ้างแต่ก็ยังคงงดงามอยู่เหมือนเดิม

สะพานมอญ ถือเป็น "สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย" เป็นสะพานที่สร้างข้ามลำน้ำซองกาเลีย อยู่ในตัวอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี สร้างโดยหลวงพ่ออุตตมะและคณะศิษย์ จึงมีอีกชื่อเรียกว่า "สะพานอุตตมานุสรณ์" เป็นสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรี สะพานไม้นี้มีความยาวถึง 850 เมตร นับเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยและยาวเป็นลำดับ 2 ของโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เป็นเส้นทางในการติดต่อไปมาหาสู่ ทำมาค้าขาย ขนส่งพืชผลทางการเกษตรในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ และเป็นเส้นทางแห่งการเผยแพร่แลกเปลี่ยนประเพณีวัฒนธรรม ระหว่างชาวมอญและชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่สองฝั่งแม่น้ำซองกาเรีย เมื่อก่อสร้างเสร็จสะพานแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า "สะพานแห่งศรัทธา" เนื่องจากวิธีการก่อสร้าง และขั้นตอนการก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานคนทั้งสิ้น

บริเวณสะพานเป็นจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณที่สวยงาม สามารถมองเห็นลำน้ำสามสาย คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี ที่ไหลมาบรรจบกันเป็นสามประสบ (จุดกำเนิดแม่น้ำแควน้อย)

อ่านประวัติหลวงพ่ออุตตะมะโดยละเอียดได้ที่ www.wikipedia.org



นั่งเรือไปชมอุโบสถหลังเก่าของวัดวังก์วิเวการาม ที่จมน้ำหลังจากสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์


เจดีย์พุทธคยาในวัดวังก์วิเวการาม


หอระฆังเก่าที่จมน้ำ


ล่องเรือเสร็จก็มาเล่นน้ำ แล้วก็อาบน้ำอาบท่า มาเดินเล่นบนสะพานมอญจนตะวันลับฟ้าไป


ความสุขแบบเรียบง่ายของเด็กๆ 

ทั้งหญิงชาย ตัวน้อยๆ ไปจนถึงตัวโตๆ พากันมาโดดน้ำเป็นเป็นกลุ่มๆ อย่างสนุกสนาน โดดแล้วก็ปีนขึ้นมาแล้วก็โดดใหม่



การใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเข้ากับวิถีแห่งธรรมชาติไม่ต้องเร่งร้อนเหมือนคนเมือง เป็นชีวิตที่เพียงพออย่างพอดี


พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า พาราตรีมาสู่เราอีกครั้งในคืนนี้


และที่ขาดไม่ได้ความสนุกสนานและเสียงหัวเราะยามค่ำคืนจากเหล่าผู้ร่วมทางในทริปนี้หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแทบจะไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว


เช้ารุ่งขึ้นเราแวะขึ้นไปยังวัดวังก์วิเวการามเพื่อชมความงดงามของวัด


วันนี้ต้องร่ำราสังขละเพื่อกลับบ้านกันแล้ว
ยังคงเอกลักษณ์เดิม ไม่ติดปี๊บ ^^ ชอบเอาของใส่ถุงทะเลแล้วมัดติดท้ายเอา ไม่เกะกะ


แวะเที่ยวด่านเจย์ดีย์ 3 องค์ 

จริงๆ ด่านนี้เปิดๆ ปิดๆ เป็นพักๆ ต้องลองเช็คดู เพราะเคยเข้าไปดูวัดที่หลวงพ่ออุตตะมะท่านสร้างไว้เช่นกันในเขตประเทศพม่า ไม่ไกลจากชายแดน (ไม่เกิน 10 km) ทำเรื่องที่ด่านไม่ถึง 10 นาทีก็เข้าไปได้ เพียงแต่ต้องมีเอกสารรถยนต์ไปด้วย หากไม่มีก็อดนะจ๊ะ



คลายเส้นสายที่บ่อน้ำพุร้อนหินดาดสักหน่อย (อยู่ก่อนถึงทองผาภูมิ 10 km)


แวะทานข้าวเย็นกันที่สะพานข้ามแม่น้ำแควก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน


จบทริปด้วยความสนุกสนานชุ่มช่ำทั้งตัวทั้งใจกันถ้วนหน้า ^^


มีคลิปมาฝากอีกเช่นเคยค่ะ


เครดิตภาพบางส่วน:จากผู้ร่วมทริป