วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

ขี่หนูดี...เอ่วเหนือ จุดหมาย ณ ปาย [ตอนที่ 2]

ต่อจากตอนที่แล้ว ขี่หนูดี...เอ่วเหนือ จุดหมาย ณ ปาย [ตอนที่ 1]

เรานัดมาเจอกันอีกที ที่ถนนคนเดินราวหนึ่งทุ่มตรง จากโรงแรมที่กางเต้นท์ไปยังรีสอร์ทเพื่อนต้องแหวกถนนคนเดินไป ด้วยความที่ไปไม่ถูกก็เลยตัดสินใจขี่รถลุยไปเลย เลยมีคนสามารถถ่ายรูปนี้ไว้ได้ ^_^



เดินไปเดินมาชิมนู่นนิดนี่หน่อย กลายเป็นอิ่มไปโดยปริยาย วันนี้ที่ปายมีเทศกาลหนังปายวันสุดท้าย คนคลาคล่ำพอสมควร เข้าไปดูโปรแกรมไม่มีหนังที่อยากดู จึงแยกย้ายกันเข้าที่พัก โดยนัดกันเก้าโมงเช้า หลังจากแยกไปก็เลยไปหาอะไรที่มีแอลกอฮอล์ดื่มซักหน่อย แต่ดื่มได้แค่ขวดเดียวก็ง่วง...ยอมแพ้กลับไปนอนเหมือนกัน อากาศเย็นสบาย ระหว่างที่นอนก็คิดว่าเอาไงดี ท่าทางพี่ๆกลุ่มนี้คงจะลงเลยแน่ๆ คงไม่มีอารมณ์เที่ยวกันแล้วเพราะเพื่อนป่วย แต่ให้ไปต่อคนเดียวก็ไม่กล้า มีคนขู่มาเยอะว่าทางไปแม่ฮ่องสอนยาก อันตราย แต่ก็อยากไป หลับดีกว่า...พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน


ตอนก่อนนอนออกมาจดๆจ้องๆ รถมันเล็ก กลัวหาย เลยเข็นมาจอดหลังพุ่มไม้ซะ
อุ่นในขึ้นอีกหน่อย ทั้งๆที่รู้ว่าจริงๆแล้วก็ไม่นาจะช่วยอะไรได้



เต็นท์เหลืองอ๋อย...ของข้าพเจ้าเอง



บรรยากาศยามเช้า ณ ริมแม่น้ำปาย


เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ อาจจะง่วงแต่เพราะข้านอนเร็วเลยไม่ค่อยชิน กางเต๊นท์ข้างๆชุดโต๊ะเก้าอี้ กลุ่มแรกที่มานั่งเป็นกลุ่มผู้ชายวัยกลางคน นั่งกินข้าวแล้วก็คุยกัน จับใจความได้ว่าน่าจะขี่ BB มาเหมือนกัน พอกินข้าวเสร็จกลุ่มนี้ก็แยกย้ายกันไป ความเงียบเข้าปกคลุกอีกครั้ง ฉันเองก็หลับไปได้ในที่สุด แต่สักพักก็ต้องตื่นเพราะมีเสียงเฮลั่นอยู่ข้างๆ คราวนี้เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มานั่งกินเหล้าและก็คุยกันเฮฮาดังมาก นอนไม่หลับจนต้องควัก iPod มายัดใส่หู เซ็งสุดๆ ตื่นมาประมาณแปดโมง ขณะกำลังจะเดินไปล้างหน้าตอนเช้า ก็จริงดังคาด กลุ่มแรกเมื่อคืนขี่ BB มา พวกเขากำลังเช็ครถกันอยู่ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถาม ก็ได้ความว่าพี่เขาจะตีเข้ากรุงเทพ โดยไปทางแม่ฮ่องสอน เราก็เลยถามว่าจะขอตามไปด้วยคนแล้วจะแยกเข้าเชียงใหม่ เป็นอันว่าเราก็ได้ติดสอยห้อยตามอีกกลุ่มจัดเป็นกลุ่มที่สี่ของทริปนี้

พี่ๆกลุ่มที่เราติดขึ้นมาด้วยโทรมาประมาณเก้าบอก เราก็เลยบอกลากันโดยไม่ได้เจอกันอีก ออกเดินทางจากปาย มุ่งหน้าสู่แม่ฮ่องสอน ใครว่าทางยาก...แต่ฉันชอบ มันท้าทายดี ถึงแม่ฮ่องสอนเที่ยงพอดี ท้องส่งสัญญาณบอกว่าต้องการพลังงานแล้ว จึงแวะทานข้าวกันที่ร้านอาหารกลางเมือง ร้านนี้ดัง (แต่มีประวัติสำหรับฉัน เพราะทำฉันท้องเสียเกือบตายมาครั้งนึง) ด้วยความที่พี่ก๊วนนี้จะตีเข้ากรุงเทพเลย จึงไม่ได้มีเวลาแวะเที่ยวที่แม่ฮ่องสอนเลย




วิวสวยๆ ระหว่างทาง



ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่แม่สะเรียง ผ่านออบหลวง เข้าฮอด ระหว่างทางมีหนึ่งคันมีปัญหารถดับ จึงลงไปคาบหญ้าเล็กน้อย แต่ก๊วนนี้มีเจ้าของร้านซ่อมรถมาด้วย ซ่อมได้... จำได้ขึ้นใจ "ห้วยแม่เหาะ" แต่ก็เสียเวลาซ่อมไปราวหนึ่งชั่วโมง ผ่านออบหลวงราวๆห้าโมงกว่า แม่เจ้า...จะถึงเชียงใหม่กี่โมงกี่ยามเนี่ยช้าาาน





BMW R1150GS



สี่คัน...สี่หนุ่ม (ใหญ่)



สภาพขณะซ่อมแซม



จริงๆแล้วตอนแรกพี่กลุ่มนี้จะวิ่งเลียบชายแดนเขาตากทางแม่สอด แต่ด้วยความที่บ่ายแล้ว พวกกลัวโจรปล้น เพราะเคยมีกิตติศัพท์ในอดีตมาก พี่เขาจึงมุ่งหน้าเข้าดอยเต่า ออกเถิน ลี้ ลงตากแทน เราจึงแยกกับพวกเขาที่ฮอด กว่าจะถึงเชียงใหม่ก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าๆ หิวสุดๆ ไม่รู้พี่พวกนี้ไปเอาพลังงานมาจากไหนกัน ไม่แวะกินอะไรเลย คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่เชียงใหม่ จึงออกไปหาอะไรกินกันแกล้มด้วยเบียร์อีกหน่อย 555 ของที่ขาดไม่ได้

เช้านี้เลยตื่นสายเป็นพิเศษ กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปสิบโมง เพื่อนและแฟนออกไปกันหมดแล้ว เลยไม่มีโอกาสได้ร่ำราแฟนเพื่อนสาวเลย (เพราะพี่เขาอาวุโสกว่าเยอะ) ขี่ออกไปเจอเพื่อนที่ร้านขายรถราวบ่ายโมงกว่า ชะล่าใจเพราะรถออกสองโมงสี่สิบ ประมาณสองโมงจึงออกจากร้านไปสถานีรถไฟ เพื่อจะนำรถขึ้นตู้สินค้า ไปถึงเขาบอกว่าตู้สินค้าเต็มแล้ว ต้องให้ขึ้นขบวนถัดไปซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ขึ้นขบวนไหน เพราะยังมีอีกหลายคันที่ส่งกลับรถไฟ หันไปมองดูก็เป็นจริง เจ้าหน้าที่ก็ติงอีกเล็กน้อย ว่าจริงๆแล้วต้องมาอย่างต่ำหนึ่งชั่วโมง เรามาก่อนครึ่งชั่วโมงยังน้อยไป -_-' เฮ้อ...กรรม พรุ่งนี้เช้าต้องไปทำงานต่อ เอาไงดี...แต่ก็ไม่มีทางเลือก เป็นอันว่าคนไปก่อน รถตามไป คราวนี้รถไฟไม่มีแถม ออกตรงเวลาแป๊ะ ขากลับได้ตู้นอนพัดลม (รถไฟชั้นสอง) ค่อยสบายหน่อย


สัมภาระที่มากมาย เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวมากกว่าขามาก




ห้องอาหารบนรถไฟ หรูไม่ใช่น้อย อาหารพอแหลกล่ายยย!!



บรรบยากาศบนรถไฟ เป็นอะไรที่ชอบมาก เป็นความทรงจำครั้งยังเด็ก ที่ยังไม่จางหายไป


ฉันจำได้ความรู้สึกเมื่อครั้งยังเด็กแล้วได้โดยสารรถไฟได้เสมอ เป็นความรู้สึกดีที่ไม่เคยลืมเลือน หลายครั้งที่ร่ำอยากกลับมาสัมผัสบรรยากาศเหล่านี้ แต่ก็ต้องมีอันพับไปเพราะตารางการเดินทางที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งการเดินทางที่ใช้เวลายาวนานเกินไป แต่เรื่องที่ขึ้นชื้อที่สุดก็คือการสมนาคุณของการรถไฟ นั่นก็คือ เลทกว่าตารางเวลามากนั่นเอง ทำให้ไม่มีโอกาสได้ใช้บริการซักที คราวนี้ก็สมใจเลยทีเดียว ลมเย็นๆ พัดผ่านสัมผัสกับใบหน้า วิวป่าเขียวขจีที่ไม่มีเสาไฟฟ้ามาบดบังให้เสียทัศนวิสัย ทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาที่ไม่มีไฮเวย์มาขวางกั้น คลอเคล้าด้วยเสียงล้อกระทบราง ดังกระฉึกกระฉัก...ราวกับจะล้อเลียนว่า"ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง" ชวนให้ขำขันอารมณ์ดี


สถานีขุนตาล ถ้ำทางเดินรถไฟที่ยางที่สุดในประเทศไทย



ไปคนเดียว...ถ่ายรูปตัวเองก็ได้


นั่งรถไฟเที่ยวกลับหลับเร็วเป็นพิเศษ...สองทุ่มกว่าๆ ก็หลับแล้ว คงเพราะใช้พลังงานไปเยอะ ตั้งแต่มาเชียงใหม่ก็ตื่นเช้าออกเที่ยวทุกวัน ถึงกรุงเทพหกโมงกว่าเลทประมาณครึ่งชั่วโมง แค่นี้ก็มหัศจรรย์มากแล้วสำหรับ รฟท. เท้าแตะหัวลำโพงก็รีบไปติดต่อแผนกสัมภาระเช็คให้แน่ใจว่าหนูดีจะมากี่โมงกันแน่ ไปถามเขาบอกว่าขบวนต่อไป เช็คตารางเดินรถ น่าจะเข้าราวแปดโมงกว่า เลยตัดสินใจรอเอารถกลับเลยดีกว่า รอไปรอมาเก้าโมงกว่าแน่ะ... ต้องไปทำงานต่อเลย แต่งานเข้าแปดโมงเช้า -_-' สายเลยเรา



บรรยากาศหัวลำโพงยามเช้า



ปิดทริกรุงเทพ-เชียงใหม่ ทริปยาวทริปแรกในชีวิต ด้วยความประทับใจสุดๆ สรุปได้เลยว่ารักการขี่มอเตอร์ไซด์ท่องเที่ยวอย่างหัวปักหัวปำ ^_^ เชียวค่ะ

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

ขี่หนูดี...เอ่วเหนือ จุดหมาย ณ ปาย [ตอนที่ 1]

หลังจากถอย Dtracker ไม่นาน ประกอบกับการได้ไปอมรมขับขี่เบื้องต้น เกิดอาการร้อนวิชาบวกกับความอยากเที่ยว คิดว่าจะไปขี่ที่ไหนดี คุยๆกับเพื่อน Biker ใน Hi5 ตอนนั้นได้ความว่าจะมี Bike week ที่เชียงใหม่ อืม...น่าสนใจ คิดอยู่หลายตลบ เพราะจริงๆแล้วก็จัดว่าเป็นการไปเที่ยวคนเดียว ไม่ได้รู้จักใครอยู่ก่อนแล้วจริงๆ มีเพียงเพื่อนที่รู้จักกันทาง Internet แต่ก็มานั่งคิด... "เอาน่า อายุปูนนี้แล้ว ไฉนจะไปเที่ยวคนเดียวไม่ได้ฟะ ทีฝรั่งมังค่าหอบเป้มาเที่ยวบ้านเราคนเดียวออกครึดไปหมด ถ้าไปแล้วไม่เจอคนที่นัดไว้ก็ไม่เป็นไรหรอกน่า กะอีแค่ขี่รถเที่ยว เมืองไทยก็บ้านเราแท้ๆ" แต่จะให้ขี่ไปจากกรุงเทพก็ดูจะเหมือนไปหน่อย เพราะรถ CC ค่อนข้างเล็ก แค่ 250cc กับความเร็วสูงสุดที่ 120 km/h กว่าจะถึงเชียงใหม่...ตายก่อนแน่ ก็เลยกะว่าจะเอาขึ้นรถไฟไปสตาร์ทที่เชียงใหม่ ว่าแล้วก็มุ่งหน้าสู่สถานนีรถไฟหัวลำโพงเพื่อจองตั๋ว วันที่จะไปคือคืนวันที่ 4 ธค.51 ซึ่งเป็นช่วงหยุดยาวทำให้ได้ตั๋วชั้นสาม "เอาก็เอา...นั่งชั้นสามจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ ตายแน่ๆฉัน"

แล้วก็มาถึงวันที่ 4 ธค.วันนี้ก็ดันยุ่ง ทำงานกว่าจะเลิกปาเข้าไปหกโมงเย็น กระเป๋ายังไม่ได้แพ็คเลย ตายแน่!! กว่าจะออกจากบ้านก็ปาเข้าไปทุ่มครึ่ง บึ่งรถไปร้านรถมอเตอร์ไซด์ ไปเปลี่ยนท่อไปเสียเป็นท่อสูตรซะหน่อย ก่อนเอาไปซิ่งเหนือ กว่าจะเปลี่ยนท่อเสร็จสามทุ่มครึ่ง รถไฟออกสี่ทุ่ม บึ่งไปถึงหัวลำโพงสี่ทุ่มเป๊ะ วันนี้รถไฟเจ้ากรรมก็ดันออกตรงเวลา ตีธงเขียวพอดิบพอดี

ทำไงละทีนี้...ขี่รถตามไปขึ้นที่สถานีดอนเมือง ยังมีเรื่องให้ใจหายใจคว่ำอีก...ดันไม่ได้เอาก๊อปปี้เล่มมา ตอนแรกนายสถานีจะไม่ยอมให้นำรถขึ้นไป ต้องอ้อนวอนกันอยู่นานทีเดียว ถึงยอมในที่สุด ตอนที่เขาเอารถขึ้นโบกี้สัมภาระ เจ้าหน้าที่ให้เราปลดสัมภาระออกจากรถให้หมด เอาละครับ...ทีนี้ก็พะรุงพะรังกันเลยทีเดียว


หน้าตาใบรับรถ ราคาคิดตามน้ำหนักบวกค่ายกเรียบร้อย


ขึ้นมาถึง...โอ้แม่เจ้า คนแบบว่าแน่นมากๆ ทำไมมีคนยืนด้วย แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าของเรามีเบอร์ที่นั่ง ยังไงก็ต้องได้นั่ง ที่นั่งเราก็อยู่มันซะกลางตู้ กว่าจะฝ่าผู้คนไปถึงที่นั่งได้ก็เล่นเอาลิ้นห้อย ร้อนมากๆ เป็นครั้งแรกที่ขึ้นรถไฟชั้นสามแล้วนั่งยาวขนาดนี้ เชียงใหม่เชียวนะ ของก็เยอะ หมวกกันน็อคกับเสื้อแจ็คเก็ต ไม่กล้าวางกลัวหาย เลยต้องกอดนั่งหลับมันไปทั้งคืน -_-" มาตื่นอีกทีราวแปดโมงกว่า เพราะรู้สึกว่ารถไฟมันกระตุกๆ แล้วก็หยุด เป็นเรื่องประจำของรถไฟภาคเหนือคือหัวจักรเสีย


ความรักของแม่ยิ่งใหญ่เสมอ แม่คนนี้...ยอมลำบาก เพื่อให้ลูกตัวน้อยหลับสบายที่สุด



บรรยากาศยามเช้า



จุดที่รถไปจอดเสีย...ตอนแรกอ่านว่าปางป่วย ดูอีกทีปางป๋วยต่างหาก ^_^



เพราะสภาพภูมิประเทศทางเหนือที่เป็นภูเขา ทำให้ รฟท.อันเก่าแก่ของเราเสียเสมอๆ


รถไปมีกำหนดการถึงเชียงใหม่บ่ายโมง แต่กว่าจะถึงก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมง กรรมยังไม่หมดแค่นี้ เมื่อถึง...ก็จะกดโทรศัพท์หา Biker สาวชาวเชียงใหม่ที่เราจะแวะทำความรู้จัก (เพื่อนคนนี้มีเพื่อนอีกคนแนะนำให้รู้จักอีกที แต่โลกกลมมาก กลายเป็นว่าเราเคยรู้จักกันใน Hi5 เมื่อนานมาแล้ว)โทรศัพท์เจ้ากรรมดันแบตหมด เอาไงดีละทีเนี่ย...เพื่อนคนนี้บอกว่าร้านขายรถมอเตอร์ไซด์ของเขาอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไป (ไม่เกิน 1 km) ก็เลยลองขี่มั่วๆไป ตาก็มองหาร้านขายโทรศัพท์ว่าจะเข้าไปขอชาร์ทโทรศัพท์ซักแป๊ปนึง ขณะที่ขี่ๆอยู่ก็มีผู้หญิงคนนึงวิ่งตามอยู่บนฟุตบาท พลางตบมือ แล้วก็ตะโกนเรียกชื่อ เป็นอันว่าได้เจอกันในที่สุด ตอนแรกก็กะจะแค่แวะทัก แต่ Biker สาวที่น่ารักคนนี้ไม่ยอมให้ไปนอนโรงแรม ลากเราไปนอนที่บ้าน แล้วกลายเป็นคนที่พาเที่ยวไปในที่สุด

แม้จะได้นอนน้อย แต่ก็ยังกระฉับกระเฉง ประมาณว่าตื่นเต้น ก็เลยชวนกันไปขี่ขึ้นดอยสุเทพเป็นการซ้อมมือ เพราะขี่ที่กรุงเทพไม่มีโค้งหรือเขาให้ลองขี่เลย แต่ขึ้นไปถึงก็ห้าโมงกว่าแล้ว เลยไม่ได้ขึ้นไปต่อ เดินขึ้นไปสักการะพระธาตุ...หอบแฮ่กๆเลย ลงมาถึงก็มืดพอดี


วิวเมืองเชียงใหม่ มองจากดอยสุเทพ


วันที่สองตกลงใจจะขึ้นดอยอินทนนท์ ตอนแรกนัดกับเพื่อน(ในHi5)อีกคนว่าจะขึ้นดอยด้วยกัน แต่กลุ่มนี้เขาออกตัวว่าเป็นรถแรง ขอขึ้นสายๆหน่อย แต่เพื่อนสาวบอกว่าขึ้นแต่เช้าดีกว่า ซึ่งเราก็เห็นด้วย แถมยังไปเกณฑ์เพื่อนมาขี่เที่ยวด้วยอีกเพียบเลย ^_^ น่ารักที่สุด เราเลยตัดสินใจออกกันตั้งแต่เจ็ดโมง แต่กว่าจะไปถึงตีนดอยอินทนนท์ กว่าจะรวมพลก็ปาเข้าไปเก้าโมงกว่าแน่ะ แต่ก็ยังถือว่าเช้าอยู่ แต่แค่นี้ก็เริ่มจะมีรถแล้ว ถ้ารถเยอะขี่ไม่สนุกแน่ๆ ขณะขี่ขึ้นไปยังมีหมอกลงให้เห็น ทางสวย อากาศดี


โฉมหน้า Biker สาวชาวเชียงใหม่ที่น่ารักและใจดีสุดๆ คนนี้ใช่เลย



รุมหนูดีกันใหญ่...ไม่มีใครสนเจ้าของเลย



ก๊วนลูกผสม มีรถทุกรูปแบบ



ชอบมาก พี่สาวคนนี้ เท่ห์สุดๆ



ขึ้นมาถึงยอดดอย ประมาณสิบโมงกว่า



ผู้คนเริ่มพลุกพล่าน รถยนต์แทบจะหาที่จอดไม่ได้



บรรยากาศบนยอดดอย



หมอกยามสาย



กับรถคู่ใจ



เหล่าพลพรรคก๊วนมอเตอร์ไซด์


โทรไปหาอีกก๊วนที่นัดไว้ตอนแรก สิบโมงเพิ่งมาถึงตีนดอย ได้เราก็ขึ้นมาตั้งนานแล้ว กลุ่มที่ขึ้นมากับเราจะลงแล้วไปเที่ยวพระธาตุ เราเลยตัดสินใจลงไปรอที่พระธาตุเลยดีกว่า ระหว่างทาง...มี BB ขี่สวนขึ้นสวนลงพอสมควร


จอดเรียงราย



เอ็ค...สุดฤทธิ์



คู่นี้ไม่มีกลัวกล้อง



พระมหาธาตุนภเมทนีดล



พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ




จนสิบเอ็ดโมงกว่า ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกกลุ่มจะขึ้นมาถึง ไหนๆก็นัดกันแล้ว เลยตกลงรออยู่ โดยกลุ่มแรกกลับลงไปก่อน รออยู่นาน ก็เลยขี่ลงไป กะว่าถ้าเจอขี่สวนมาค่อยขี่กลับขึ้นมาอีกที แต่ด้วยความหิว จึงไปแวะที่จุดพักกลางทาง มีเรื่องให้น่าตื่นเต้นอีกครั้ง มีโทรศัพท์จากธนาคารโทรเข้ามาบอกว่าคุณทำบัตรเครดิตหาย งงดิ...ตั้งแต่มาที่เชียงใหม่ยังไม่ได้ใช้บัตรเลย แล้วไปตกตรงไหนเนี่ย เปิดกระเป๋าคาดเอว...โอว โน!!! กระเป๋าเงินหายไปแล้ว ปรากฏว่ามีคนเก็บได้ แล้วเขาโทรไปยังธนาคารให้หาทางติดต่อเรา สุดท้ายก็นัดเจอกันในบริเวณนั้นเพื่อที่จะคืนให้ ถ้าหายนี่แย่แน่ๆ จะเอาตังค์ที่ไหนเที่ยวละทีนี้ 555 กว่ากลุ่มที่สองที่นัดเจอจะขึ้นมาถึงก็เที่ยงพอดี ก๊วนนี้มาทั้งหมด 19คัน ตัดสินใจไปกินข้าวกันที่โครงการหลวง จะไปกินปลาเทร้าซ์กัน แต่ปรากฏกว่าตัวเล็กมาก สงสัยคนคงจะมากินเยอะ เลยโตไม่ทัน เลยมีวลีเด็ดว่า "ปลาเทร้าซ์เท่าปลาทู" คนก็เยอะ อาหารก็ช้า ช่วงเทศกาล ไม่แนะนำอย่างยิ่งเลยค่ะ




รูปทางเข้าและหน้าโครงการหลวง



โฉมหน้าก๊วนนักซิ่ง ณ เชียงใหม่ ก๊วนนี้เค้ามีแต่ของแรงๆ


คืนวันที่ 6 ธ.ค. 51 ก็ได้เข้าไปเที่ยวในงาน Bike week มีรถมาร่วมงานมากมาย แต่ HD จะอภิสิทธิ์หน่อย เพราะเค้าเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ ตัวเองไม่ชอบชอปเปอร์ แต่ตัวในรูปล่างนี้เป็นข้อยกเว้น สวยจริง Sportster 1200 ตัวนี้



หลังจากกลับจากงานไบค์วีคก็ได้โทรนัดกับเพื่อนอีกกลุ่มนึง ที่ตกลงว่าเราจะขอแปะขึ้นปายด้วยคน โดยกลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มที่ขี่มาจากกรุงเทพเลย นัดแนะกันว่าพรุ่งนี้เจอกันแปดโมงเช้าที่สตาร์บัค ถนนนิมานนรดี กว่าจะมากันก็ปาเข้าไปเก้าโมงเช้า มาสองคันเป็น BMW ทั้งคู่ รถเราเลยเหมือนรถเด็กเล่นไปเลย คันเล็กกว่าตั้งเยอะ ที่เหลืออีกเจ็ดคันยังไม่ฟื้นจากฤทธิ์น้ำเมา(ทริปนี้เป็นทริปที่แรดมาก เพราะแปะเขาไปทั่ว ตอนนี้ก็สามกลุ่มแล้ว)


มุ่งหน้าไปทางแม่ริม เพื่อขึ้นปาย



สามคันนี้เอง...


ขึ้นถึงปายราวๆ เกือบเที่ยง ทางสนุกมาก โค้งเป็นโค้งแคบๆ และสั้น ดังนั้นหนูดีเลยกินซะ แบบว่าจ่อคันหน้าตลอด แต่ไม่แซงเพราะรู้ว่าไงทางตรงก็สู้ไม่ได้ กดดันอยู่ข้างหลังสนุกกว่าเป็นไหนๆ ถึงปุ๊บ...พี่ๆกลุ่มนี้เค้าจองที่พักไว้แล้ว แต่เราอุตส่าห์เอาเต้นท์มา ก็แหม...ซื้อใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ จะไม่ใช้ได้ไง ต้องหาที่กางให้ได้ ตอนแตกพี่เค้าก็คุยกับทางรีสอร์ทว่าจะขอให้เรากางเต็นท์ แต่ทางรีสอร์ทไม่ยอม เราก็ไม่ง้อ ระหว่างนี้มีโทรศัพท์เพื่อนพี่กลุ่มนี้เข้ามาว่า มีหนึ่งคันในก๊วนประสบอุบัติเหตุ กระดูกหักสามแห่ง แต่ลำตัวกับหัวไม่เป็นไร ทำให้ที่เหลือทั้งหมดไม่มีใครตามมา เป็นอันว่ารีสอร์ทที่จองก็เหลือ เราก็ไม่เอาอยู่ดี จึงขอแยกตัวไปหาที่กางเต๊นท์ แล้วกลับมารวมตัวกันอีกทีตอนบ่ายโมงเพื่อกินข้าว


ที่พักกางเต็นท์ที่หาได้...บ้านไม้คนเมือง
ชื่อช่างเหมาะกับเราแท้ๆ เพราะเดินทางมาจากเมือง


หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ราวสามโมง เราตัดสินใจจะไปปางมะผ้ากัน ระยะทางราว 40KM แต่ขี่ไปถึงจุดชมวิวกิ่วลมก็ราวๆสี่โมงกว่าแล้ว ถามชาวบ้านดู บอกว่าถ้ำลอดและแถวปางมะผ้าจะปิดราวๆ ห้าโมง ซึ่งกว่าจะขี่ไปถึงก็คงราวๆนั้น จึงตัดสินใจนั่งเล่นที่นี่กันแทน เพราะไม่อยากกลับแบบมืดๆ ฉันเคยมาแถวนี้แล้วหนึ่งครั้งเมื่อสองปีก่อน เพียงแค่สองปี อะไรๆก็เปลี่ยนไปมาก ความรเจริญที่เข้ามา ทำให้ภาพแห่งวิถีชีวิตแบบดิบๆ เดิมๆหายไป สำหรับฉันที่เป็นคนเมืองก็อยากเห็นภาพเหล่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นสิ่งที่คนท้องถิ่นเหล่านี้ต้องการก็เป็นได้


เพิงไม้ขายของ ที่กลายเป็นคอนกรีตอย่างดี




จุดชมวิว...ดอยกิ่วลม



ของที่ชาวบ้าน ซึ่งเป็นชาวเขานำมาขาย เป็นงานหัตกรรมแบบหยาบๆ ที่คล้ายกันมาก
ซะจนคิดว่าซื้อมาขายมากกว่าทำเอง เพราะมันเหมือนกันหมด




อากาศดีๆแบบนี้ ขอซะหน่อย เรื่องที่ขาดไม่ได้


กลับมาถึงที่พักประมาณหกโมงเย็น แยกย้ายกันไปอาบน้ำ นัดแนะกันไปเดินถนนคนเดิน คืนนี้ที่ปายมีเทศการหนัง แต่ยังไม่รู้ว่าจะดูหรือเปล่า เพราะไม่รู้โปรแกรมหนังเลย ใจไม่อยากดูเพราะขี่รถมาเหนื่อยๆทั้งวัย อยากร่ำสุรามากกว่า (ยอมรับว่าเป็นสุภาพสตรีขี้เมา เอิ้กๆ)

ติดตามต่อตอนที่สองนะคะ ไม่งั้นมันจะยาวมากๆ เลย