วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประวัติความเป็นมาของ Girl Riders และความเป็นไปในอนาคต



Girl Rider เป็นกลุ่มสาวๆ ที่รักการขี่มอเตอร์ไซด์คันโต หรือที่เราเรียกว่า Big Bike ท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ



โดยเริ่มจาก "แต่ละคนที่ขี่รถอยู่แล้ว" แต่ในกลุ่มมักจะมีแต่ผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย เมื่อถึงปลายทาง แม้เราจะร่วมวงสนทนากับผู้ชายได้อย่างไม่ขัดเขิน แต่บางครั้งเราก็อยากจะเม้าท์มอยในแบบผู้หญิงๆ บ้าง แล้วพอเราได้ขี่มาเจอกัน ก็...เอ้ย มีผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ขี่นี่นา จาก 2 เป็น 3 เป็น 10 ค่อยๆ รู้จักมากขึ้น จึงมีความคิดอยากรวมตัวผู้หญิงขี่รถให้เป็นกลุ่มกัน ก็เลยคิดกันว่างั้นเราจัดทริปที่นับแต่ผู้หญิงขึ้นมานั่นก็คือ ทริปเขาค้อ จริงๆ แล้วในทริปนั้นมีผู้ชายมาร่วมทริปด้วยอีกเป็นจำนวนมาก 30 กว่าคนได้ พอเราได้มาเจอกัน ได้สัมผัสตัวตนของแต่ละคน โชคดีที่เราทั้ง 8 (ในตอนนั้น) คุยกันแล้วนิสัยเข้ากันได้ หลังจากจบทริปได้ติดต่อพูดคุยกันสม่ำเสมอ ก็เลยตัดสินใจตั้งเป็นกลุ่ม Girl Riders ขึ้นมาเลยละกัน แต่ไม่ได้เปิดรับสมาชิกสะเปะสะปะ จะบอกว่าเป็นกลุ่มปิดก็ได้ เพราะเราคิดชื่อมากจากผู้หญิงที่ขี่รถ ฉะนั้นต้องขี่กันเองได้ และพวกเราชอบเที่ยวเหมือนๆ กัน ดังนั้นต้องมีจัดทริปอยู่เรื่อย ฉะนั้นคนที่จะมาเข้ากลุ่มได้ จึงต้องขอทำความรู้จักกันก่อน ว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่า จึงเป็นเงื่อนไขอย่างที่กล่าวมา ว่าอยู่ดีๆ จะมาขอเข้ากลุ่มเลยน่ะไม่ได้ ^^

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ กลุ่มนี้ก็มีอายุ 4 เดือนแล้ว ดูเหมือนว่าจะสั้นๆ แต่บางคนรู้จักกันมากว่า 3 ปี เราคบที่ตัวตนจริงๆ ของกันและกัน ใครเคยเป็นไงก็เป็นแบบนั้น เคยกินนอนเที่ยวเล่นด้วยกัน ลำบากด้วยกัน รู้จักกันไปจนถึงระดับครอบครัว บอกได้ว่าเราเป็นมากกว่าคนรู้จัก เราเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง ที่พร้อมจะช่วยเหลือกันเมื่อมีปัญหาในทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่ทักทาย แล้วแยกย้ายไม่สนใจกันเวลามีทุกข์ อย่าหาว่าเราหยิ่งหรือเรื่องมากเลยค่ะ เพราะเราคาดหวังว่าเมื่อเข้ามาอยู่ในกลุ่มแล้ว เราก็อยากจะเป็นเพื่อนกันไปให้นานที่สุด ก็เลยต้องมีข้อแม้เงื่อนไขมากหน่อยเป็นธรรมดา และนี่เป็นประวัติย่อของกลุ่มเราค่ะ

Girl Riders ไม่มีหัวหน้ากลุ่ม ทุกคนในกลุ่มมีสิทธิ์เท่าเทียมกันทุกคน มีแต่ความเคารพที่พวกเรามีให้กันเสมอ.....

สรุปอีกครั้ง...มีหลายคนถามว่าขอเข้ากลุ่มด้วยได้ไหม คำตอบคือ อาจจะได้ หรือ อาจจะไม่ได้

ดูจากอะไร?

1. เนื่องด้วย กลุ่มเราชื่อ Girl Riders นั่นหมายความว่าต้องขี่เองเท่านั้น ดังนั้นเป็น Bike Lover เฉยๆ หรือ สก๊อยไบค์เกอร์ จึงไม่ได้

2. ต้องออกทริปไปเที่ยวกับพวกเราได้ หรือสามารถขี่ bigbike ไปทริปไกลๆ เดินทางต่างจังหวัดกับพวกเราได้

3. หลังจากออกทริปแล้ว ได้พบปะพูดคุย และสมาชิกยอมรับว่านิสัยเข้ากับคนในกลุ่มได้ นั่นหมายความว่า...คุณต้องมีนิสัยที่ไม่เกรียน ไม่เพี้ยน ไม่งี่เง่า ตามประสาผู้หญิงหัวใจ Biker

ปัจจุบัน เรามีสมาชิกทั้งหมด 10 คนเท่านั้น แต่คาดว่าสมาชิกน่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน...

อยากทำความรู้จักหรือทักทายพวกเรา แวะไปที่นี่ Girl Rider FB page ได้เลยค่ะ




Girl Riders Track Day Meeting Trip @ Thailand Circuit

ทริปรวมตัวครบ 10 สาวครั้งแรก เรานัดกันที่สนามแข่งรถ Thailand Curcuit นครชัยศรี

เหล่าสาวกรุงเทพนัดกัน 9 โมงที่ปั๊มแถวสาธร แต่ข้าพเจ้าตื่นสาย กว่าจะไปถึงปั๊มก็เกือบ 10 โมง ส่งผลให้โดนทิ้งนะสิ T_T


ไปถึง 11 โมง เป็นคนสุดท้าย โดนประนามไม่มีชิ้นดี ขอโทษ...ค้าบ


ทำการแจกและแปะสติ๊กเกอร์กลุ่มกันเด๋วนั้น ^^










เมื่อรวมตัวกันก็เฮฮาจิงโกะกันอย่างที่เห็น ยั้วเยี้ยยุ้บยับยุกยิกไม่หยุดไม่หย่อน เหมือนจับปูใส่กระด้ง

นอกจากพบปะสังสรรค์กันแล้ว เพราะสมาชิกต่างก็มาจากทั่วสารทิศ มีทั้งเชียงใหม่, พิษณุโลก, โคราช, เพชรบุรี แล้วก็กรุงเทพ ยังมีอีก 2 จุดประสงค์ นั่นคือ ถ่ายทำรายการโทรทัศน์ และ สัมภาษณ์ลงหนังสือ

คงสงสัยละสิว่าแปลกตรงไหน ผู้หญิงขี่รถมอเตอร์ไซ์
ถ้าพบเจอคนสองคนน่ะ...ไม่แปลก แต่พบทีทั้ง 10 ก็ออกแนวอลังการนิดนึง






โพสกันเต็มที่กว่าจะได้ภาพสวยๆ


จัดฉากกันนิดหนึ่ง


ช่วงถ่ายสัมภาษณ์


ประการที่ 2 คือ ลองรถของกันและกัน คนชอบขี่มอเตอร์ไซด์มักมีรถในดวงในมากกว่าหนึ่งคัน โดยเฉพาะตัวเอง...จ้องๆ สปอร์ตเอาไว้เหมือนกัน เลยขอถือโอกาสนี้ลองรถซะหน่อย


ลองซ้อนน้องนักแข่งดู มันส์มากๆ แต่คราวนี้ยังเกาะได้ไม่แน่นดีพอ น้องเลยบอกนี่แค่เบาะๆ นะคร้าาบพี่


ลองเอารถตัวเองวิ่งในสนาม


ลอง Kawasaki Versys


ลอง Ducati Monster 696


ลอง Suzuki GSX1000 K7


ลอง Suzuki GSX1000 K9


จริงๆ ได้ลอง Kawasaki ZX-10 (2009) และก็ Yamaha R1 (2007) ด้วย แต่ไม่ชอบเลยขี่น้อยรอบซะจนไม่ได้ถ่ายรูป ^^ ถามใจว่าชอบตัวไหนมากที่สุด บอกได้แล้วว่าชอบ Suzuki ถ้ามีโอกาสจะสอยไว้ในครอบครองสักคัน อิอิ



และแล้วอีกหนึ่งวันแห่งความสนุกก็จบลง ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
ถ้าอยากดูรูปสาวๆ คนอื่นๆ ตามไปดูที่เพจ FB ได้เลยนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรียนขี่มอเตอร์ไซด์ ... BMW enduro park, Hechlingen, Germany

คำชักชวนจากพี่คนหนึ่ง (ที่เคยขอไว้ว่า ถ้าพี่ไปดู...ให้หนูไปด้วย) ตามคำร้องขอ ราวๆ ต้นปีว่าได้จองลงคอร์สเรียนขี่มอเตอร์ไซด์แบบ Enduro ที่เยอรมันสำเร็จแล้ว

บางคนอาจสงสัยว่าการขี่ Motorcross กับ Enduro ต่างกันอย่างไร การขี่ Motorcross จะใช้รถเล็กกว่า และเป็นการขี่แข่งขันกันในสนาม แต่การขึ่ Enduro คือการขี่รถทางดินผ่านภูมิประเทศ ซึ่งอาจเป็นการแข่งขันก็ได้ แต่ในกรณีนี้ คือ เรามาเรียนเพื่อเพิ่มพูนทักษะในการขี่รถผ่านถนนที่มีอุปสรรคต่างๆ เช่น ทางดิน ทางทราย ทางกรวด ขึ้นเขา ลงห้วย อะไรทำนองนี้

ออกเดินทางจากประเทศไทย ใช้เวลา 11 ชม. ไปลงยังสนามบินมิวนิค ประเทศเยอรมันนี ต้นกำเนิดของรถ BMW




ดอกกล้วยไม้ต้อนรับจากสายการบินไทย และสนามบินที่สะอาดสะอ้าน


ถึงเยอรมันราวๆ 2 ทุ่ม แล้วก็เช่ารถขับต่อไปเมือง Wemding


โรงแรมที่พักและสภาพห้องนอน


จริงๆ เราไม่ได้เรียนที่เมืองนี้ ต้องไปเรียนเมืองข้างๆ คือ Hechlingen แต่เมืองนี้ใหญ่และน่ารักกว่ามาก


มาคราวนี้ไม่เน้นเที่ยว เน้นช็อปแต่สิ่งที่เกี่ยวกับมอเตอร์ไซด์ ต้องยอมรับว่าราคาถูกกว่าบ้านเราค่อนข้างมาก


วิวสองข้างทางผ่านขับรถไปเรียนที่ BMW Endoro Park ที่เมือง Hechlingen


ทริปนี้เรามาเรียนทั้งหมด 2 คอร์ส คอร์สละ 2 วัน / 640 Euro สามารถจองได้ทางอินเตอร์เนท ถึงแม้ว่าจะแบ่งเป็น 4 Level แต่การเรียนก็ไม่ได้แบ่งชัดเจนนัก ดูนักเรียนเป็นหลักว่ามีทักษะระดับไหน รวมทั้งใบประกาศนียบัตรก็ไม่ได้ระบุระดับด้วยเช่นกัน

เรียนคราวนี้ขอลดระดับรถลงเป็น F650GS เพราะการขี่ผ่านทางวิบากนั้นถ้าขายันถึงมากเท่าไหร่ยิ่งจะปลอดภัยกว่า สำหรับข้าพเจ้าที่ทักษะต่ำต้อย และรถแสตนดาร์ท F800GS นั้นสูงลิบลิ่วแบบปลายเท้าเตะถึงพื้นแค่นั้นเอง ม่าาายไหว ขอบาย



ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายก่อนเรียนเสียหน่อย


คอร์สไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนว่าระดับไหน แต่เท่าที่สอบถาม แบ่งเป็น Basic, intermediate, advance แล้วก็ racing เค้าก็จะดูว่าเรารับได้แค่ไหน ก็ป้อนให้มากกว่า เพราะใบประกาศที่ได้ก็ไม่ได้บอกไว้ว่าเรียนคอร์สไหน

คราวนี้ก็สอนกันตั้งแต่ ยกรถ, การถ่ายน้ำหนักตัวเวลาเลี้ยว ขึ้น-ลงเนิน, ประโยชน์ของการปิด ABS แล้วเบรค, ถ้าขึ้นเนินแล้วรถดับต้องทำอย่างไร, การลุยกรวด, การลุยทราย, การเลี้ยวแคบๆ อื่นๆ อีกมากมาย สอนทฤษฏีเสร็จก็พากันไปปฎิบัติจริง อย่างที่บอกว่า park มีพื้นที่กว้างมาก มีแทรคจะลองสถานการณ์ต่างๆ ไว้ให้ฝึกหัดครบถ้วน









คอร์สแรกที่เรียนบอกตรงๆ ว่าอ่วมเลยค่ะ อากาศร้อนมาก ประกอบกับขาดการออกกำลังมานาน เหนื่อยสุดๆ ล้มแล้วแล้วอีก แรงไม่เหลือเลยค่ะ

คอร์สที่ 2 ร่างกายเริ่มอยู่ตัว และเราก็เริ่มชินกับรถ รวมทั้งทักษะพัฒนาขึ้นบ้าง สบายขึ้นเยอะเลยค่ะ อ้อ...ลืมบอก 1 คอร์สเรียน 2 วันค่ะ



ล้มกันบ้าง เป็นเรื่องธรรดา มีช่างคอยรอซ่อมให้ตลอดเวลา และถ้าซ่อมไม่ไหวก็เอาคันใหม่ไปขี่ได้ทันที่



สภาพบริเวณศูนย์อำนวยความสะดวก กว้างขวางสะดวกสะบาย มีอุปกรณ์เสื้อผ้าขายด้วย



ทุกมื้อกลางวัน ครูฝึกจะพาขี่ออกจากศูนย์ไปกินข้าวที่โรงแรมข้างนอก คอร์สแรกเหนื่อยจัด กินข้าวกลางวันเสร็จนั่งหลับกันเลยทีเดียว
แล้วก็ยังมีเลี้ยงมื้อค่ำในวันแรกของคอร์สเรียนค่ะ ในภาพมีพรีเซ็นท์ทริปทัวร์ แต่ราคาแพงพอสมควร

ปล.อาหารเยอรมันไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ค่ะ


จบ 2 คอร์สด้วยความสนุกสนาน เหนื่อย ได้ความรู้และพัฒนาทักษะสมใจ แม้สำหรับตัวเองจะได้อะไรไม่มากนัก เพราะฝีมืออันน้อยนิด จึงไม่สามารถโกยได้มากอย่างที่หวัง ต้องกลับมาฝึกอีกนาน แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกลับไปอีกครั้ง เพราะมีอีกหลานแทร็คที่ยังไม่ได้สัมผัส แต่ละคอร์สก็มีผู้หญิงมาเรียนด้วยหลายคน แต่ละคนสูงยาวเข่าดีตัวใหญ่ๆ เทียบเท่าผู้ชายกันทั้งนั้น มีข้าพเจ้าตัวกระปิ๋วหลิ๋วอยู่คนเดียว





จบ 2 คอร์ส 4 วันแบบสนุกสุดมันส์ สำหรับตัวเอง โดยส่วนตัวตอบใจได้เลยว่าคุ้มค่ะ และถ้ามีโอกาสก็จะไปอีกแน่นอนค่ะ


จริงๆ แล้วหลังเรียนคอร์แรก เราพัก 2 วัน ก่อนจะเรียนคอร์สที่ 2 ไม่งั้นตายแน่ วันว่างวันแรกเี่ราได้ไปเที่ยว Stuttgart เพื่อไปชมพิพิธภัณฑ์ Mecedes-Benz และ Porsche









ส่วนอีกหนึ่งวันเราขับรถไปเที่ยวทะเลสาบที่เมืองใกล้ๆ ขับรถไปซัก 50 กิโลเมตร ได้นั่งเรือล่องทะเลสาบ มีวงนักเรียนขึ้นมาบรรเลงให้ฟังเพลินๆ





2 วันสุดท้ายก่อนกลับ เราเข้ามา Munich ได้ไปเก็บ RC ตามแหล่งสำคัญเล็กน้อย เช่น เฟราเอ่นเคียร์ชเช่อ (The Frauenkirche), มาเรียนพลาตซ์ (Marienplatz) ซึ่งจะมี Glockenspiel อยู่, เรสซิเดนซ์ (Residentz), Althe Rathaus, Theatinekirche (ST. Cajetan's church) โดยทั้งหมดจะอยู่ในระยะเดินถึงกันได้





สมกับเป็นเมืองต้นกำเนิดเบนซ์ บีเอ็ม เอามาทำแท็กซี่มันซะเลย

แต่ไม่ได้ใช้บริการ เพราะดูท่าทางจะแพง ได้ยินมาว่า ถ้าคนขับลงมาช่วยขนของ ก็จะคิดเงินเพิ่มด้วย ไม่รู้จริงหรือเปล่า แล้วมันจะคิดยังไงหว่า ดังนั้นมิวนิคเราใช้บริการรถมวลชน หลักๆ เลยก็คือรถไฟใต้ดิน กรณีที่ไปเป็นกลุ่ม 5 คนขึ้นไป คุณสามารถซื้อตั๋วกลุ่มได้ในราคา 9.98 ยูโร ใช้ได้ 1 วัน สามารถขึ้นรถเมล์ รถราง ได้หมด



ที่นี่ไม่มีคนคอยเก็บตั๋ว ไม่มีที่กั้น คุณต้องมีสามัญสำนึกว่าต้องจ่ายค่ารถด้วย



สิ่งที่เมืองแถบยุโรปมีเหมือนๆ กัน ก็คือ Street show และผู้คนที่ออกมารับแสงแดดตามร้านอาหารมากมาย นอกจากนี้...เยอรมันเป็นประเทศที่คนชอบจูงหมาออกมาเดินไปไหนมาไหนด้วย สามารถนำขึ้นรถได้ เข้าร้านอาหารได้ ก็แปลกดี เพราะบางคนลากหมาไปแบบไม่ได้สนใจอะไร เหมือนสักแต่ว่าให้ได้จูงหมามาด้วยยังไงยังงั้น





อีกที่ๆ พลาดไม่ได้ คือ HOFBRAUHAUS อายุร้านเก่าแก่ร้อยกว่าปีเ​ลยทีเดียว ได้กินครบ ทั้งไส้กรอก (ย่างและต้ม) ขาหมู และเบียร์ ต้นตำรับเยอรมันแท้ๆ


และแล้ววันเดินทางกลับก็มาถึง เราขึ้นรถไฟจากโรงแรมไปสนามบินด้วยความทุลักทุเล เพราะสัมภาระที่มากมายและน้ำหนักมหาศาล กังวลกันมากมายว่าจะต้องโดนชาร์ทเพิ่มจากสายการบินเรื่องน้ำหนักเกินหรือเปล่า แต่ก็รอดกันทุกคน แต่ละคนน้ำหนักสัมภาระเพิ่มจากขามาที่หนักอยู่แล้วคนละไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัม ทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมด 11 วันแห่งความสนุกสนาน







อลืม...มีคลิปเหมือนเคยค่ะ สั้นๆ เพราะไม่ค่อยได้ถ่ายเองเท่าไหร่ ไม่มีความสามารถแบกกล้องใหญ่ไประหว่างเรียนขี่ได้



ใครอยากไปก็ตาม Link ที่ให้ไว้ได้เลยค่ะ ง่ายๆ แค่จอง แล้วก็บินไปตามกำหนด ตัวเปล่าก็ยังได้ ^^

Enduropark ที่เยอรมัน

Enduropark ที่อังกฤษ

จริงๆ แล้ว Enduro park มีในหลายประเทศ เยอรมัน อังกฤษ อเมริกา แล้วก็ประเทศอื่นๆในยุโรป
แต่สนามที่ดีสุด แน่นอน...ก็ต้องเป็นเยอรมันต้นตำหรับนั่นเอง

ขอบคุณที่ติดตาม พบกันใหม่ทริปหน้าค่ะ