วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชุ่มฝน...ที่ "สังขละ"


ทริปดองเค็มเล็กน้อย จริงๆไปมาเมืื่อหน้าฝนของปีที่แล้ว ได้รับการชักชวนจากน้าบ๊วยว่าจะมีทริปไปสังขละกับชาว FotoFile มอเตอร์ไซด์ 7 คันและรถยนต์อีก 2 คัน ตอบตกลงอย่างไม่รีรอ 1.ไม่เคยไปสังขละมาก่อน 2.ไปกับชาวกล้องน่าจะมีรูปสวยๆเพียบ ทั้งๆที่เป็นหน้าฝนต้องเปียกโชคชุ่มฉ่ำแน่แต่ก็หาได้เกรงกลัวไม่รวมแล้วทั้งทริปมีนักบิดทั้งหมด 9 คน แม้จะเป็นรถขนาด 250 cc ถึง 7 คัน แต่เราก็ไปด้วยกันได้ 

ออกเดินทางคันเดียวจากกรุงเทพเมื่อเวลา3ทุ่มไปสมทบกับน้าบ๊วยที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วคืนแรกเราพักที่ทองผาภูมิ ถึงที่พักราวเที่ยงคืน ก่อนจะเดินทางต่อไปสังขละบุรีในวันรุ่งขึ้นส่วนทีม FotoFile จะออกจากกรุงเทพในคืนเดียวกันแต่ดึกกว่านั้นที่ตัดสินใจไม่รอเพราะกลัวจะง่วงจนหลับในระหว่างทางเสียก่อน ระยะทางจากกรุงเทพถึงสังขละ ร่วมๆ 350 km เห็นจะได้


เส้นทางจากแยกแก่งเสี้ยนไปจนถึงทองผาภูมิถนนดีมากๆ โค้งกว้างเรียกว่าเล่นโค้งได้อย่างสนุกสนานทีเดียวแม้จะมืดและถนนชื้นๆจากฝนที่ตกก่อนหน้านี้โชคดีที่คืนนี้ขณะเดินทางไม่เจอฝนตก




ออกจากรีสอร์ทที่ทองผาภูมิปั๊บฝนก็ตกลงมาทักทายให้ยินดีกันถ้วนหน้าอย่างทันที ตกปรอยๆสลับกับตกหนักโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องมุ่งหน้าไปถึงสังขละให้จงได้สังขละ


ข้อดีของหน้าฝนคือ ได้รับอากาศบริสุทธิ์ความสดชื่นเย็นฉ่ำกันแบบจุใจ
แต่ก็นะ...เปียกปอนด์และก็...หนาวเหน็บเป็นอย่างยิ่ง
อีกอย่างที่สำคัญ...ถนนลื่นต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นในยามขับขี่
แต่เพราะต้องขี่ช้าลง ก็ทำให้เรามีโอกาศได้ชื่นชมธรรมชาติได้นานขึ้น


วิวสวยๆตลอดเส้นทาง ค่อยๆขี่ดื่มด่ำความงามของธรรมชาติกันไปอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน 
สัมผัสกับอ้อมกอดของสายน้ำและขุนเขากันให้จุใจ


วิถีชีวิตอันเรียบง่ายและกลมกลืนไปกับธรรมชาติของชาวบ้านพื้นถิ่นช่างงดงาม
และดำเนินไปอย่างเชื่องช้าแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคง


สายน้ำในเขื่อนที่สงบนิ่งเป็นสายน้ำแห่งชีวิตหลากหลายคุณูปการหล่อเลี้ยงเหล่ามวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง 



แวะจอดไปเรื่อยตรงไหนสวยก็หยุดเป็นระยะๆ ...เก็บภาพกันเสียหน่อย


ขี่รถท่ามกลางผืนป่าหลากไม้นานาพันธุ์ที่เขียวขจีความเครียดก็ได้ถูกดูดซับไปจนหมดสิ้น 
ชาร์ทพลังงานไว้เป็นทุนแห่งใจกลับไปสู้งานต่อเมื่อกลับไปเผชิญชีวิตประจำวัน


และแล้วเราก็ถึงสังขละในเวลาบ่ายต้นๆ เราพักกันที่แพลุงเณร 

ที่พักที่นี่ก็มีมากมายหลายแบบ ตั้งแต่โรงแรมรีสอร์ทอย่างดี นอนในแพริมน้ำ หรือถ้าชอบความเป็นส่วนตัว จะนอนในแพแล้วให้เค้าลากไปลอยไว้กลางน้ำก็ยังได้ หรือตัวเลือกสุดท้าย...กางเต๊นท์



สะพานมอญอันเลื่องชื่อ ได้รับการบูรณซ่อมแซมให้แข็งแรงเมื่อไม่นานมานี้แม้จะขาดความขลังไปบ้างแต่ก็ยังคงงดงามอยู่เหมือนเดิม

สะพานมอญ ถือเป็น "สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย" เป็นสะพานที่สร้างข้ามลำน้ำซองกาเลีย อยู่ในตัวอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี สร้างโดยหลวงพ่ออุตตมะและคณะศิษย์ จึงมีอีกชื่อเรียกว่า "สะพานอุตตมานุสรณ์" เป็นสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของอำเภอสังขละบุรี สะพานไม้นี้มีความยาวถึง 850 เมตร นับเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยและยาวเป็นลำดับ 2 ของโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เป็นเส้นทางในการติดต่อไปมาหาสู่ ทำมาค้าขาย ขนส่งพืชผลทางการเกษตรในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ และเป็นเส้นทางแห่งการเผยแพร่แลกเปลี่ยนประเพณีวัฒนธรรม ระหว่างชาวมอญและชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่สองฝั่งแม่น้ำซองกาเรีย เมื่อก่อสร้างเสร็จสะพานแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า "สะพานแห่งศรัทธา" เนื่องจากวิธีการก่อสร้าง และขั้นตอนการก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานคนทั้งสิ้น

บริเวณสะพานเป็นจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณที่สวยงาม สามารถมองเห็นลำน้ำสามสาย คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี ที่ไหลมาบรรจบกันเป็นสามประสบ (จุดกำเนิดแม่น้ำแควน้อย)

อ่านประวัติหลวงพ่ออุตตะมะโดยละเอียดได้ที่ www.wikipedia.org



นั่งเรือไปชมอุโบสถหลังเก่าของวัดวังก์วิเวการาม ที่จมน้ำหลังจากสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์


เจดีย์พุทธคยาในวัดวังก์วิเวการาม


หอระฆังเก่าที่จมน้ำ


ล่องเรือเสร็จก็มาเล่นน้ำ แล้วก็อาบน้ำอาบท่า มาเดินเล่นบนสะพานมอญจนตะวันลับฟ้าไป


ความสุขแบบเรียบง่ายของเด็กๆ 

ทั้งหญิงชาย ตัวน้อยๆ ไปจนถึงตัวโตๆ พากันมาโดดน้ำเป็นเป็นกลุ่มๆ อย่างสนุกสนาน โดดแล้วก็ปีนขึ้นมาแล้วก็โดดใหม่



การใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเข้ากับวิถีแห่งธรรมชาติไม่ต้องเร่งร้อนเหมือนคนเมือง เป็นชีวิตที่เพียงพออย่างพอดี


พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า พาราตรีมาสู่เราอีกครั้งในคืนนี้


และที่ขาดไม่ได้ความสนุกสนานและเสียงหัวเราะยามค่ำคืนจากเหล่าผู้ร่วมทางในทริปนี้หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแทบจะไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว


เช้ารุ่งขึ้นเราแวะขึ้นไปยังวัดวังก์วิเวการามเพื่อชมความงดงามของวัด


วันนี้ต้องร่ำราสังขละเพื่อกลับบ้านกันแล้ว
ยังคงเอกลักษณ์เดิม ไม่ติดปี๊บ ^^ ชอบเอาของใส่ถุงทะเลแล้วมัดติดท้ายเอา ไม่เกะกะ


แวะเที่ยวด่านเจย์ดีย์ 3 องค์ 

จริงๆ ด่านนี้เปิดๆ ปิดๆ เป็นพักๆ ต้องลองเช็คดู เพราะเคยเข้าไปดูวัดที่หลวงพ่ออุตตะมะท่านสร้างไว้เช่นกันในเขตประเทศพม่า ไม่ไกลจากชายแดน (ไม่เกิน 10 km) ทำเรื่องที่ด่านไม่ถึง 10 นาทีก็เข้าไปได้ เพียงแต่ต้องมีเอกสารรถยนต์ไปด้วย หากไม่มีก็อดนะจ๊ะ



คลายเส้นสายที่บ่อน้ำพุร้อนหินดาดสักหน่อย (อยู่ก่อนถึงทองผาภูมิ 10 km)


แวะทานข้าวเย็นกันที่สะพานข้ามแม่น้ำแควก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน


จบทริปด้วยความสนุกสนานชุ่มช่ำทั้งตัวทั้งใจกันถ้วนหน้า ^^


มีคลิปมาฝากอีกเช่นเคยค่ะ


เครดิตภาพบางส่วน:จากผู้ร่วมทริป

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

First trip First Touch กับ KTM 990ADV ศรีสวัสดิ์ - พุเตย – น้ำตกคลองลาน


ทริปแรก...ต้อนรับสมาชิกใหม่KTM 990ADVเอาออกจากศูนย์ก็เอาใส่รถกลับบ้านเรียกว่ายังไม่ได้ลองขี่กันเลยสักนิดจึงต้องมีการจัดทริปรับน้องใหม่กันหน่อยแถวๆ ภาคกลางรอบๆ กรุงเทพคงไม่เว้นเขาใหญ่ไม่ก็เขาโจด (กาญจนบุรี) แต่คราวนี้เราเลือกเขาโจดเป็นคำตอบสุดท้าย อิอิ ว่าแล้วไม่รอช้ารีบบิดกุญแจสตาร์ท ไปกันเลยดีกว่า   

  
   

สมาชิกหดหายไป1จากที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปกันทั้งหมด3 คันเหลือแค่ 2
อีกคันเป็นBMW R1100GSปี 1998 พี่เบิ้มที่แม้จะอายุเยอะแต่ถ้าถนนใหญ่ ก็ยังบิดตามแทบไม่ทัน
  

 
วางแผนจะไปนอนบ้านต้นไม้ที่The TerraResort ทองผาภูมิ (กาญจนบุรี) แต่ปิดปรับปรุงจึงเบนหน้าไปทางศรีสวัสดิ์ (กาญจนบุรี) แทนแวะที่ LakeHaven กะวัดดวงเผื่อจะมีห้องว่างและแล้วก็ต้องผิดหวัง (สมใจ)แถมไม่ได้ทำการบ้าน(ไม่ได้หามาเลยว่ามีที่พักที่ไหนแถวๆนี้บ้าง)อาศัยขี่มาเรื่อยแวะรีสอร์ทนั้นรีสอร์ทนี้ เห็นป้ายแล้วเลี้ยวเข้าไปดูหลายต่อหลายที่บางที่ก็เป็นทางลูกรังขึ้นเขาอย่างโหด แถมก็ลากพี่เบิ้ม BMWไปด้วยสงสารรถมากๆ แต่ทำไงได้เนาะ^^ หลายที่เข้าไปค่อนข้างลึก แต่เพราะไม่ได้โทรเข้าไปถามก่อน ไม่เปิดให้พักก็มี แจ้งว่าไม่คุ้มค่าปั่นไฟ จึงควรโทรเข้าไปถามก่อนนะคะ

   
จนมาถึงทางแยกเข้าไปขึ้นแพไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นจุดสุดท้ายเห็นป้ายรีสอร์ทพิศตะวันก็ลองดูเป็นที่สุดท้ายกะว่าถ้าไม่เปิดอีกจะข้ามแพไปนอนห้วยแม่ขมิ้นมันซะเลยในที่สุดซึ่งแม้จะมีเพียงเราห้องเดียวก็ยอมเปิดให้เราพักเลยกลายเป็นส่วนตัวสุดๆทั้งรีสอร์ทมีเราเพียงห้องเดียว ^^



       
รีสอร์ทแม้จะไม่หรูแต่ลุงพ่อบ้านให้บริการดีมากๆ อยากได้อะไรก็พยายามหาให้เท่าที่จะทำได้ เราซื้ออาหารมาปรุงกินกันเองแกก็ให้ใช้ครัวได้ตามสบายหากไปเป็นหมู่คณะต้องการความเป็นส่วนตัวราคาประหยัด แนะนำเลยค่ะรีสอร์ทใช้ไฟปั่น โดยจะปิดไฟตอน5 ทุ่มแต่อากาสก็เย็นสบายไม่ต้องง้อพัดลมลมพัดตึงทั้งคืนนั่งเล่นตรงระเบียงไม่มียุงมากวนใจเลยได้ยินเสียงคลื่นน้ำนึกว่ามาทะเลเสียด้วยซ้ำ^^ ตอนแรกมาถึงก็มองว่าจะพักที่แพนะ แต่ลุงถามเลยว่าแน่ใจนะ เราเลยเลือกพักบนบ้านพักค่ะไม่ได้พักในแพที่เห็นในภาพเพราะตอนกลางคืน ลมแรงมากแพโล้โต้คลื่นอย่างแรงเกรงว่าจะเมาแพไม่ต้องหลับต้องนอนกันเสียก่อน จริงๆ 
 
   

  
สีขาวตัดกับสีส้มสวยมากกกก...ที่สุด

      
   
ตั้งชื่อให้ว่าน้องกะทิ ^^ สูงมากขนาดจับโช้คหน้าลดลงมา 1นิ้วครึ่งแล้วก็ยังสุดปลายเท้า
แต่กลับไม่ค่อยรู้สึกกังวลเหมือนตอนขี่BMW F800GSก่อนโหลดสปริงสักเท่าไหร่
   

   
เช้าวันรุ่งขึ้นจากพิศตะวันรีสอร์ทเราขี่ต่อไปทางเขาโจด  50km ก็มาทะลุฝั่งหนองปรือ (กาญจนบุรี) ซะแล้วไอ้ครั้งจะกลับบ้านเลยก็ยังไม่จุใจ เราจึงคิดต่อไปว่าจะไปแวะที่ไหนจุดแวะต่อมาก็คือ เขื่อนกระเสียว (40 km, สุพรรณบุรี) บ้านเรามีเขื่อนเล็กๆ หรืออ่างเก็บน้ำอยู่เต็มไปหมด ก็ถือเป็นจุดแวะพักผ่อนชมวิวทิวทัศน์ที่ดีไม่น้อย

   

       
จากเขื่อนกระเสียวกด GPSดูจากตรงนี้ถึงบ้านอีก 100โลหน่อยไม่ๆๆ ยังไม่จุใจงั้นแวะพุเตย (สุพรรณบุรี) ต่อดีกว่า ถามพี่ยักษ์ว่าจะเข้าไปได้ไหน คำคอบ... "ไม่รู้ แต่จะไปเท่าที่ไปได้" พี่ยักษ์ใหญ่ก็พยายามจะเข้าไปด้วยแต่ก็ต้องยอมแพ้ในที่สุดก็เลยเหมือนเอาอิชั้นไปปล่อยหน้าสนามเด็กเล่นขี่ไปแล้วก็ขี่กลับ 1รอบเป็นการทดสอบรถไปในตัวบอกได้คำเดียวว่า...มันใช่เลย

   

   
ออกมาจากพุเตยรถขาวจั๊วก็เลยกลายเป็นมอมแมมไปซะเต็มไปด้วยน้ำโคลนอย่างที่เห็นมันส์มาก

   

     
ยังๆทริปนี้ยังไม่จุใจ ไม่มืดไม่กลับบ้านไปทานข้าวเย็นกันที่น้ำตกคลอกลานดีกว่า (130 km,กำแพงเพชร) ^^

   

   
น่าเสียดายที่มาถึงน้ำตกเย็นไปหน่อยเกือบ 6โมงเย็นแล้วแต่เจ้าหน้าที่ก็ยังใจดีให้เราเข้าไปถ่ายรูปได้ไม่มีโอกาสได้นั่งชิวๆให้สบายใจ   
น้ำตกใหญ่มาก สวยมีน้ำตลอดปี บรรยากาศดีมากๆน่ามากางเต๊นท์นอนสุดๆ

   

 
กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไป3ทุ่มกว่าๆ ทริปนี้ใช้เวลา 2วันกับระยะทาง 987km. เป็นทริปแรกที่ได้สัมผัสกับน้องกะทิ แม้จะเคยได้ลองรถเดโม่มาแล้ว แต่ก็ออกอาการเกร็งๆ ในตอนแรก จบด้วยประทับใจสุดๆ เป็นรถที่ขี่สนุกทุกสถานการณ์จริงๆค่ะ ครบรสได้หมดทั้งทางเรียบทางดิน ใครว่าไฮน์สปีดทำความเร็วไม่ได้ ขอเถียงขาดใจเลยเอ้า แต่ถ้าเอาไปเปรียมมวยกับรถสปอร์ตก็ต้องบอกว่าผิดตั้งแต่เอามาเทียบกันในแง่นั้นแล้วล่ะ ถ้าจะพูดว่าขับขี่ในโค้งบนถนนแล้วล่ะก็ ไม่แพ้รถรุ่นอื่นๆ เลยค่ะ ส่วนทางดินไม่ต้องพูดถึงรู้ๆ กันอยู่ว่าเค้าดีแค่ไหน ^___^

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทริปหนีน้ำสู่อ้อมกอดขุนเขาและเมฆหมอก ลำพูน-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน [BMW F800GS]

ตามธรรมเนียม (ส่วนตัว) ของทุกปี ที่หน้าหนาว ต้องมีทริปยาวๆ อย่างน้อย 1 ครั้ง และแน่นอนก็ต้องวิ่งหาขุนเขาเข้าสู่อ้อมกอดของความหนาวเย็นและเมฆหมอกแห่งความสดชื่น ซึ่งก็หนีไม่พ้นภาคเหนือหรือไม่ก็อีสานตอนบน และก็เช่นเคย...นานๆ ทีจะขี่ขึ้นไปไกลขนาดนี้ก็ต้องวางแผนกันหน่อย ว่าทำอย่างไรเราถึงจะได้พบปะเพื่อนฝูงที่คิดถึงและอยากเจอให้ได้มากที่สุด

แผนปีนี้เริ่มจาก กลุ่มเพื่อนพิษณุโลก ซึ่งก็มีทริปประจำปีอยู่แล้วเช่นกัน บอกกำหนดการมาว่าจะขึ้นไปวันที่  3-6 แต่ตัวเองต้องทำธุระในวันที่ 6 นั่นหมายถึงต้องกลับก่อน จึงขอขึ้นไปก่อนตั้งแต่วันที่ 1-5 โดยคืนแรกเรานอนกันที่ลำพูน ต่อด้วยเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน วันสุดท้ายยิงยาวจากแม่ฮ่องสอนกลับกรุงเทพ วันสุดท้ายนี่หล่ะหนักใจ เพราะวันรุ่งขึ้นต้องไปต่างจังหวัด (ด้วยรถยนต์) แต่เช้าตรู่ ไงๆ...ก็ สู้โว้ยยยยย ^^ ว่าแล้วไปกันเลย







สายกรุงเทพออกเดินทาง 7 โมง มีน้าบ๊วยและพี่ปอให้เกียรติเป็นผู้ร่วมทางไปกลับในทริปนี้
มุ่งหน้าไปปากช่อง เพื่อไปรับน้องนาง เพื่อจะขี่ขึ้นลำพูนด้วยกัน



พี่ปอ กับลูกชายคันใหม่ ถอยมาสดๆ ร้อนๆ ก็นำมาเปิดซิงทริปนี้เป็นทริปแรก



หลังจากแวะรับน้องนาง ก็ยิงยาวแวะทานข้าวกลางวันที่พิษณุโลก



น้องหมูกับพี่โอม เจ้าถิ่นพิษณุโลกแวะมาต้อนรับ และจะขี่ตามขึ้นไปสมทบที่เชียงใหม่ในวันที่ 3



เปรียบเทียบบั้นท้าย ... ใครหล่อกว่ากัน?



จากพิษณุโลก วิ่งเข้าอุตรดิตถ์ จอดพักที่ป้อมตำรวจทางหลวงก่อนวิ่งเข้าลำปาง



หัวหน้าทีม "ลูกบ๊วย ณ สวนสยาม" ที่พาขี่แบบสบายๆ ไม่เร็วไม่ช้า แต่มีชู้ทเป็นช่วงๆ คลายความหงุดหงิดจากรถที่ขับกันได้กวนเหลือเกิน
และกะเวลาได้แป๊ะมากๆ นับถือจริงๆ



ทริปนี้น้องนางก็ยังควบ K9 ออฟชั่นแบบแข่งมาเหมือนเดิม นับถือเลยน้องเอ๋ย...เก่งมากๆ



ถึงลำพูนก็เย็นย่ำพอดี 5 โมงกว่าๆ แวะสักการะเจ้าแม่จามเทวี



อฐิษฐานอะไรหนอ... ^^


รุ่งเช้า...เราแวะเที่ยววัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ใจกลาง เมืองลำพูน เป็นโบราณสถานอันสำคัญของนครหริภุญชัยที่พญาอาทิตยราชเป็นผู้สถาปนาขึ้นในราว พุทธศตวรรษที่ ๑๗ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ













หอไตร


ที่จริงแล้ว คาดหวังว่าจะได้ไปอีกวัดหนึ่งในลำพูน คือ วัดพระบาทห้วยต้ม แต่เพราะเส้นที่เราขึ้นมาไม่ใช่สายเอเซียปรกติ จึงทำให้พลาดไปอย่างน่าเสียดาย เพราะแม้ลำพูนจะเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่วัดในจังหวัดนี้ มีความสวยงามไม่น้อยเลย







พี่เลี้ยงในทริปนี้ ^^



หลังเที่ยววัดในลำพูนเสร็จ ก็ไปเชียงใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่น้องนางขี่รถมาไกลขนาดนี้
และ เป็นครั้งแรกที่ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่ด้วย จึงพาเที่ยวเสียหน่อย พี่ๆ ฮาเลย์ก๊วนนี้เจอบนดอยสุเทพ



ขึ้นไปเที่ยวดอยปุยก่อน แล้วค่อยๆ แวะที่เที่ยวที่อื่นๆ ไล่ลงมา



เด็กชาวเขาผิวขาวเนียนดีจริงๆ



ว่าขากลับจะลงมาอุดหนุนคุณยายเสียหน่อย แต่เดินลงอีกทาง...อดเลย



ฝิ่น...



สาวดอยปุย



มาเฟียคุมตลาด เดินตรวจตรา



แวะเบี้ยใบ้รายทาง...



จอดรถมันหน้าป้ายเลย เพราะของติดรถเยอะ กระเป๋าบางใบก็ล็อคไม่ได้ จอดให้อยู่ในหูในตาผู้คนเยอะๆ



แต่ละวัด ก็ต่างธรรมเนียมและความเชื่อ อย่างที่นี่...ให้ซื้อระฆังเล็กๆ ถวาย



ค่ำคืนที่ 2 ที่เชียงใหม่ พี่หนึ่ง...อีกหนึ่งสาวที่รักใน 2 ล้อ ลงมาจากแม่สาย เพื่อทานข้าวกับพวกเราโดยเฉพาะ
และเป็นเจ้าภาพอาหารมื้อยักษ์นี้ ขอบคุณมากๆ ค่ะ ^^ อร่อย แต่ก็เกรงใจมากๆ เลยค่ะ



ปีนี้ก็เหมือนเดิม...ทุกครั้งที่ขึ้นมาเชียงใหม่ ต้องมานอนบ้านเพื่อนเอ้...เพื่อนสาวนักบิด
ปีนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เด็กๆ เลยป่วยกันหมด แต่ก็ยังร่าเริงยิ้มได้ ^^ และกลุ่มจากโคราชอีก 3 คันก็เดินทางมาสมทบตั้งแต่เมื่อคืน

วันที่ 2 จัดทริปสั้นๆ ร่วมกับสาวๆ นักบิดในเชียงใหม่ ไปน้ำพุร้อนสันกำแพง
จริงๆ จะไปสะเมิงกัน แต่ฝนตกก่อนรุ่งสางจนกว่า 9 โมงก็ยังไม่หยุด เลยต้องเปลี่ยนจุดหมาย



แอนนี่ อ้อ ปอม และเจ๊ปี้ (เรียงจากซ้ายไปขวา) สาวๆ ทั้งหมดขี่เองนะคร้าาา



รวมตัวกันที่บ้านเอ้ ก่อนออกเดินทาง



เรามาดูสาวเชียงใหม่หัวใจ 2  ล้อคนอื่นๆ กันบ้าง คนแรก...น้องแอนนี่ กับ Kawasaki ZX10



เต้ย กับ Kawasaki Er6n



^_______^ สาวๆ นักบิด



ถึงแล้วน้ำพุร้อนสันกำแพง



ความเหมือนโดยบังเอิญ ทั้งเสื้อและกางเกง ของ 2 สาว ฝนและแอนนี่





มาบ่อน้ำพุร้อน...ก็ต้องคู่กับไข่ต้ม





ต้มเสร็จก็รุมกันหม่ำอย่างสนุกสนาน กินกันซะอิ่มแทนข้าวกลางวันเลย



โฉมหน้าสาวๆ นักบิดในทริปเล็กๆ นี้ [เรียงจากซ้ายไปขวา]
แฮปปี้ (Happyka), แหวว (Sweetsyrup) แอนนี่ (Anniie Bikezii Qzx) ฝน (Maneaw) นาง (Nang) อ้อ (moody aor) เต้ย (Calamine Er) ปอม (Pomlady)



ปัจจุบันมีสุภาพสตรีหันมาขี่รถเองมากขึ้น ชอบๆ อยากให้มีเยอะๆ ^^


บ่ายของวันที่ 2 ออกเดินทางจากเชียงใหม่ ไปทางแม่แจ่ม เพื่อไปเจอกับกลุ่มพิษณุโลกแถวๆ บ้านหัวปอน (ก่อนถึงขุนยวม) แต่เกิดความผิดพลาด ทำให้เราขี่เลยจุดนัดไปจนถึงขุนยวม (เลยไป 40 km) แถมยังเกิดความผิดพลาดมากกว่านั้น ทำให้น้าบ๊วยและพี่ปอ ถูกหมอและสายโคราช (4 คัน 5 คน) ทิ้งไปนอนที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน น้ากับพี่ปอเลยสนุกสนานอยู่แถวๆ ขุนยวมอย่างเดียวดาย (เห็นเล่าว่าได้ล้อมวงกินข้าวกับชาวบ้านแถวนั้นอย่างสนุกสนาน) อิอิ







เรื่องมีอยู่ว่า...เราแวะป้อมตำรวจที่สามแยกขุนยวม คุณตำรวจบอกว่าอย่าไปที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเลย ไม่่น่าจะหาที่พักได้หรอก น้ากับพี่ปอเลยไปสำรวจที่พักในขุนยวมให้ ขณะที่รออยู่ที่แยก น้ากับพี่ปอขี่กลับมาและไปสำรวจอีกทาง พวกเราเห็นได้ยินเสียงแตรและเห็นว่ามีการกวักมือเรียก จึงคิดว่าให้ขี่ตามไป มุ่งหน้าเส้นทางสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ขี่ตามเท่าไหร่ก็ตามไม่ทันเสียที จนถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน จึงโทรหาน้า

หมอ "น้าอยู่ไหนกันคะ พวกหนูขี่ตามมาจนถึงตัวเมืองแล้วค่ะ"
น้า  "เอ่อ...ผมยังอยู่ที่เดิมอ่ะ สามแยกเมื่อกี้"
หมอ "อ้าว...เอาแล้วไง"
น้า  "ไม่เป็นไร แต่มืดแล้ว ผมนอนแถวนี้แล้วกัน ขี้เกียจขี่ละ"
เรื่องมันเป็นประการฉะนี้แล










เช้าวันที่ 3 ระหว่างรอน้ากับกลุ่มพิษณุโลกที่ตามมาสมทบ เราก็ไปเที่ยววัดพระธาตุดอยกองมูกัน ^____^ อากาศสดชื่น แดดเปรี้ยงดีจริงๆ



วิวเมืองแม่ฮ่องสอน





และแล้ว เราก็ได้พบกันในที่สุดครบทั้งน้าบ๊วย พี่ปอ และกลุ่มพิษณุโลก เดินทางต่อไปนอนยังบ้านรักษ์ไทยในคืนนี้



มาเที่ยวปางอุ๋งในตอนเย็น เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับแต่เช้าตรู่



โฉมหน้าสายโคราช



คืนนี้เราทานข้าวกันที่ร้านลีไวน์รักษ์ไทย กับอาหารแบบจีนยูนาน เมนูหลักที่พลาดไม่ได้คือ ขาหมูหมั่นโถว จัดเต็มกันจนจุกเลยทีเดียว




เกิน...หลายเด้อ เอ้ย...สาวๆ เกิลด์ไรเด้อบางส่วน ^^



โฉมหน้ากลุ่มพิษณุโลก ด้านบนเป็นห้องพักที่เราพักกันในคืนที่ 3 นี้ ชื่อ Tae House บ้านรักษ์ไทย (www.yongtha.com,  084-7393181) คนที่ 3 จากทางซ้ายคือเจ้าของที่พัก



กลางคืนมีคณะละครสัตว์มาเปิดการแสดงพอดี จึงแวะเข้าไปดูเสียหน่อย หมาน้อยน่ารักมากความสามารถมากๆ



คนพากษ์คณะละครสัตว์หน้าตาและหุ่นแบบนี้ ทำเสียงเล็กเสียงน้อยพากษ์ได้ฮามากๆ



บรรยากาศยามเช้า ก่อนแยกอำลาแม่ฮ่องสอนเพื่อยิงยาวกลับกรุงเทพ โดยเหลือกลุ่มพิษณุโลกยังอยู่เที่ยวสะเมิงต่ออีกหนึ่งวัน



แวะถ่ายรูปกับไร่ชาเสียหน่อย ปีนี้อากาศไม่หนาวเท่ากับ 2 ปีก่อนที่เคยมา




แวะพักเป็นระยะๆ



วิวสวยๆ ระหว่างทาง



ถนนภาคเหนือมากี่ทีๆ ก็ไม่เบื่อ แต่จะขึ้นมาทั้งทีก็ต้องให้คุ้มหน่อย ต้องวางแผนเพื่อเก็บเส้นทางสวยๆ ให้สมใจอยากซักหลายๆ วันหน่อย



สาดโค้ง...ถนนเนียนๆ สวยๆ (น้องเปียง โคราช)



ถนนจากบ้านรักษ์ไทยไปปาย (พี่โดม โคราช)



สาวฝนกับ Kawasaki Versys คู่ใจ



น้าบ๊วย สวนสยามมมม



พี่ปอ ชลบุรี



น้าของเราเนื้อหอมเสมอ ต้องมีสาวๆ เข้ามาคุยด้วยเป็นประจำ

จากบ้านรักไทยถึงปายราวๆ 10 โมงกว่า จากปายถึงเชียงใหม่ราวๆ บ่ายโมงกว่าว ออกจากเชียงใหม่เกือบ 4 โมงเย็น



ถึงลำปาง 5 โมงกว่าๆ



สายกรุงเทพ แยกกับสายโคราชที่ตรงนี้ โดยสายกรุงเทพขี่ไปทางถนนสายเอเซีย ส่วนสายโคราชเข้าอุตรดิตถ์ ถึงจุดหมายไล่เลี่ยกันคือเกือบเที่ยงคืน

ถนนสายเอเซียอยู่ในสภาพดีตลอดเส้นทาง มีถนนพังอยู่ 1 ช่วง คือ นครสวรรค์เป็นระยะทางไม่เกิน 100 เมตรเท่านั้น


จบทริปแบบไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ เพราะปีนี้ได้ขี่รถน้อยเหลือเกิน (วัดจากเลขไมล์) ลูกรักเข้าไปอยู่ในอยู่นานกว่า 7 เดือนเลยทีเดียว แต่ก็ได้ความสนุกแบบพอหอมปากหอมคอ ที่สำคัญคือการได้พบปะเพื่อนฝูงชาวสองล้อให้หายคิดถึง





ทริปจบ...มิตรภาพไม่เคยจบ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^____^

เด๋วจะมีคลิปตามมาอีกเช่นเคย อดใจรอแป๊บนะคะ