วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทริป Long Way Down สุดทางรัก...เอ้ย “รถแมงกะไซด์” ที่สิงค์โปร์ [ตอนจบ]

ทริป Long Way Down สุดทางรัก...เอ้ย “รถแมงกะไซด์” ที่สิงค์โปร์ [ตอนแรก]

และแล้วเวลาในสิงค์โปร์ 2 วันก็สิ้นสุดลง วันนี้มุ่งหน้ากลับเข้าสู่มาเลเซียอีกครั้ง เพื่อไปนอนที่มะละกา การออกจากสิงค์โปร์เข้าสู่มาเลเซีย ไม่วุ่นวายอย่างที่คิด จะว่าไปก็คือไม่โดนค้นรถอีกเลย



ถึงมะละกา 11 โมง โรงแรมที่พักจองผ่านอินเตอร์เน็ท ชื่อโรงแรม Beauford Hotel เจ้าหน้าที่ๆ มาต้อนรับ น่าจะเป็นเจ้าของเอง เป็นคนสิงค์โปร์ บริการเป็นเยี่ยม ยกนิ้วให้ค่ะ ใส่ใจดีมากๆ ก่อนเข้าห้อง...ได้ยินแว่วๆ ว่าถ้าจากูซี่ไม่ทำงาน ให้แจ้งได้ ไอ้เราก็คิดว่าหูฝาด แต่พอถึงห้อง...เข้าไปสำรวจห้องน้ำ ก็...โอแม่เจ้า อ่างจากูซี่จริงๆ ด้วย (ห้องราคา 2 พันกว่าบาทค่ะ)



พักให้หายเหนื่อยชั่วครู่...ก็ออกเที่ยวเมืองกันเล้ย มะลากาเป็นเมืองท่าเก่าแก่ มีประวัติยาวนาน ลองหาอ่านดูนะคะ และมีส่วนที่เป็น world heritage ด้วย แต่จริงๆ แล้วเมืองเล็กนิดเดียวค่ะ จะว่าไปเมืองต่างๆ ในมาเลเซียก็ไม่มีอะไรมากนัก บ้านเราดีกว่าเป็นไหนๆ (เข้าข้างบ้านตัวเองซะงั้น)



โบส์ถเก่าแก่...แต่ขนาดไม่ใหญ่โต





ตึกแดงนี่แหละ ที่เห็นจากในรูปว่าสวย จนทำให้ต้องมาแวะพักที่เมืองนี้ แต่ก็มีแค่นี้แหละค่ะ



ขี่ชมเมือง แต่ไม่ได้จอดแวะ... ถ่ายภาพจากบนหลังมอเตอร์ไซด์



ขี่ชมเมือง เก็บภาพจากบนหลังอานมอเตอร์ไซด์ ไม่ได้แวะลงไปเดินเยี่ยมชม มีนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งและจีนให้เป็นประปราย


จริงๆ แล้วที่นี่มีอาหาร Chicken rice ball เป็นอาหารแนะนำ แต่ก็ไม่ได้ลองค่ะ เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร



ทะเลบ้านเขา...ทรายไม่สวย ไม่มีหาดสวยๆ เหมือนบ้านเราเลยค่


ความมืดมาเยี่ยมเยือน พร้อมๆ กับท้องร้องประท้วง (อีกแล้ว) แต่ก็ไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวเลยซักนิด ใช้วิธีขี่รถตะลุยดูไปเรื่อย จนมาเจอร้านนี้เข้า กลิ่นเครื่องเทศลอยมาแตะจมูก แถมคิวยาวมาก...รอเกือบครึ่งชั่วโมงทีเดียว เป็นร้านสะเต๊ะ แต่ไม่เหมือนสะเต๊ะบ้านเรา ป้ายหน้าร้าน...เน้นๆ บอกว่าไม่มีสาขาลูกหรือหลานที่ไหน เจ้านี้มีร้านเดียวเท่านั้น





ของสดหลายหลาก เอามาต้มกันในน้ำสะเต๊ะข้นคลั่ก...เข้าเนื้อ ร้านนี้อร่อยจริง อะไรจริง เรียกว่าแนะนำค่ะ


วิธีคิดเงินเขาจะนับไม้ ไม้ละ 80 เซ็นต์ ไอ้ที่เห็นภาพ กุ้งตัวใหญ่ หอยเป๋าฮื้อ แต่มันเป็นโบนัสค่ะ ไม่มีอยู่ในตู้ที่ให้หยิบเอง คือเรานั่งๆ กินอยู่ดี ก็จะมีพนักงานเอามาหย่อนในถาดให้ เพราะเห็นว่าโต๊ะไหนที่กินน้อยๆ ก็จะไม่ได้ แปลกดีค่ะ



วันต่อมา เป็นวันที่ 8 ของการเดินทางแล้ว คืนนี้เราจะไปพักที่ปีนัง ขี่จากมะละกาไปแวะปุตราจายา เมืองใหม่ ก่อนเข้าไปนอนที่ปีนัง


ปุตราจายาเป็นเมืองใหม่ มีแต่สิ่งก่อสร้างใหญ่โตมโหฬารอลังการงานสร้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล่าตึกที่ทำการของรัฐบาลรวมทั้งที่อยู่อาศัย จะเห็นว่าในเมืองมีคอนโดสร้างไว้ โดยที่ยังไม่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก ตึกเหล่านี้มันใหญ่ซะจนไม่คิดว่าจะใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า เหมือนเป็นการสร้างเพื่อให้เป็นหน้าเป็นตามากกว่า





ที่ขาดไม่ได้ ก็ต้องมัสยิตสีชมพูแห่งนี้ แต่ไม่ได้เข้าไปชมข้างในค่ะ เพราะเป็นช่วงเวลาสวดมนต์ เลยขี้เกียจรอ



กว่าจะถึงปีนังก็มืดพอดี ระหว่างทาง...เสื้อของเพื่อนก็ขาดอย่างที่เห็น แต่เป็นเพราะเสื้อตัวนี้ไม่ใช่แจ็คเก็ตสำหรับใส่ขี่รถ เข้าที่พักเรียบร้อย ก็ออกไปหาอะไรหม่ำๆ มื้อค่ำวันนี้ ถามเพื่อนเจ้าถิ่น บอกให้ไปที่ Gurney Drive มีอาหารท้องถิ่นแปลกๆ ให้ลิ้มลอง



สะพานข้ามไปยังเกาะปีนัง ความยาวกว่า 7 KM


จริงๆ แล้วจุดเกาะใกล้แผ่นดินที่สุด คือบัตเตอร์เวิด แค่ 3 กิโลเมตร แต่มาเลเซียเลือกที่จะสร้างในจุดนี้ เพื่อให้ได้รับการบันทึกว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลก แต่ก็โดนจีนทำลายสถิตินี้ไปซะแล้ว จะว่าไปมาเลเซียพยายามทำอะไรๆ ให้ได้รับการบันทึกว่าเป็นที่ 1 อยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้โดนที่อื่นทำลายสถิติไปหมดแล้ว



หน้าตาเหมือนผัดไทยบ้านเรา คนต่อคิวกันเยอะ แต่รสชาติงั้นๆ, หอยสังข์เผา, ปลากระเบน



อิ่มแล้ว แต่ยังไม่ง่วง ก็เลยขี่รถท่องราตรีอีกสักหน่อย ^^


วันรุ่งขึ้น กว่าจะตื่นกันก็เกือบเที่ยง ที่ตื่นสายโด่ง ก็เพราะฤทธิ์เบียร์ไบซัน เบียร์ท้องถิ่น 8% ไม่ต้องแปลกใจค่ะ เพราะเจ้าของบล็อคเป็นคนชอบดื่มเบียร์ ไปประเทศไหนก็ต้องลิ้มลองเป็นของแปลก



ด้วยความมันส์ในอารมณ์จึงกลับไปขี่ขึ้นคาเมรอนกันอีกรอบ และลงอีกทาง เพราะจริงๆ แล้วก็มีทางขึ้นลง 2 ทางค่ะ เขาว่าอีกทางมันส์กว่า... ไม่อยากพลาด เพราะไม่รู้จะได้กลับมาซ้ำอีกเมื่อไหร่



ลงจากคาเมรอนฝั่งนี้ จะย้อนไปทางกัวลาลัมเปอร์ ^^ แต่ก็ไม่ยั่น...มันส์โค้งสุดๆ ระหว่างทางมีน้ำตกหนึ่งแห่ง ทีสามารถมองเห็นได้จากไฮน์เวย์ กว่าจะกลับถึงปีนังก็เกือบทุ่ม เพราะหลังจากลงเขาต้องพักรถนานพอสมควร เพราะ Er6n ถึงกับขนาดคูแลนท์เดือดกันเลยทีเดียว



เช้าวันที่ 10 วันอำลามาเลเซียกลับเข้าบ้าน เลยแวะลงไปถ่ายรูปหาดหลังโรมแรมซะหน่อย ทรายหยาบ...สีตุ่น ไม่ขาว และก็ไม่ค่อยสะอาดนัก (แต่จะว่าไปบ้านเราจุดที่แย่ก็แย่พอๆ กันแหละ)

ในภาพเป็นอุโมงค์ลอดภูเขาแถวๆ อิโป้ค่ะ และยังมีเรื่องระทึกเล็กน้อย เพราะเพื่อนทำแว่นตาหาย เขาจึงมองไม่ค่อยชัดนัก จึงขี่ไปเสยฟุตบาทเล่น แต่ก็สามารถควบคุมรถไว้ได้ ไม่ล้ม ทำให้ไม่บาดเจ็บแต่อย่างใด เช็ครถแล้วพบว่าไม่มีปัญหา





และเพราะเมื่อวานผิดพลาดเรื่องเวลา ทำให้อดเที่ยวในปีนัง คือ การขึ้นชมวิวบนเขา Penang Hill ซึ่งนั่งรถรางขึ้นไป หรือจะขับรถขึ้นไปก็ได้ และวัดเก็กลกซี (Gek Lok Si) ก็เพราะไม่ได้ไป มานั่งค้นรูปในอินเตอร์เน็ททีหลังยิ่งเสียดาย ก็ออกจะสวยขนาดนี้ เลยเอามาให้ดูยั่วน้ำลายกันค่ะ

ถือเป็นทริปสำรวจก็แล้วกัน... ^^



ผ่านเข้าไทยได้อย่างง่ายดาย ไม่ถูกค้นข้าวของอย่างที่คิด คิดถึงอาหารไทยเป็นที่สุด มีพรายกระซิบบอกว่าไก่ทอดแถวๆ ด่านสะเดาอร่อย อิอิ...ต้องชิม แต่ไม่รู้ว่าร้านไหนแน่ ก็เลยมั่วๆ เอาค่ะ

11 วันของการเดินทาง...ที่ใกล้จะจบลง ตอนแรกวางแผนจะไปนอนที่กระบี่ แต่เพราะคิดถึงกลุ่มทากน้อย สหายภูเก็ตที่น่ารัก จึงทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายมุ่งหน้าไปนอนที่ภูเก็ตอีกหนึ่งคืนแทน จากด่านสะเดาวกเข้าภูเก็ตเป็นระยะทางที่ไกลมาก เพราะต้องขี่รถวกขึ้นมาจะเข้าเขตนครศรีธรรมราช ผ่านกระบี่ จึงจะไปถึงภูเก็ต กว่าจะถึงภูเก็ตก็เย็นพอดี ตอนแรกคิดว่าจะถึงซักเที่ยงๆ เซ็งเลย...อดชิวกันพอดี



และแล้วก็ไม่มาเยี่ยมเยียนร้าน I-Here Café จนได้ ^^



คืนนี้เราพักกันที่วิจิตรรีสอร์ท ซึ่งเป็นกิจการของสมาชิก SNL คนหนึ่ง ลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวแยกเป็นหลังๆ เราได้ห้องที่อยู่ติดกับสระว่ายน้ำ และมองเห็นวิวทะเล

จากผลพวงของอุบัติเหตุที่ปีนัง เมื่อมาเช็ครถ (Er6n) ดีๆ แล้ว พบว่ารถของเพื่อนมีปัญหามากกว่าที่คิด จึงคิดว่าไม่น่าจะปลอดภัย ถ้าขับไกลๆ จนถึงกรุงเทพ จึงนำรถเข้าศูนย์ Kawasaki ที่ภูเก็ตทันที ส่งผลให้ต้องตัดสินใจว่าจะขี่กลับคนเดียวดีหรือไม่



ชิวริมทะเลเต็มที่ นอนอ่านนิยาย...เล่นน้ำ 6 ชม.รวด ผลคือตัวดำปี๋เลย ^^ และเพราะ Lunch Buffet นี่เองทำให้ตัดสินใจไม่ขี่รถกลับ (มีวงแจ๊สเล่นกันให้ฟังสดๆ ด้วย) รวมทั้งถ้าจะขี่กลับก็ต้องขี่กลับคนเดียว ผสมปนเปกับความขี้เกียจ ก็เลยบินกลับ ทริปนี้เลยรู้สึกค้างคา...เหมือนภาระกิจไม่สำเร็จเสร็จสิ้น ต้องมีล้างตาแน่นอน



แวะไปดูโรงแรมเคปพันวาซะหน่อย ได้ยินว่าสวย เคยดูหนังเรื่องคริสกะจ๋าบ้าสุดๆ แล้วชอบ แต่ปรากฏว่าเข้าไปผิด นี่มันโรงแรมศรีพันวา หาใช่อันเดียวกันไม่

ไม่เป็นไร...ที่นี่ก็สวยเหมือนกัน อลังการงานสร้างมาก บ้านพักเป็นหลังๆ ราคาถูกสุดก็ยังหมื่นขึ้นอยู่เลย จะแวะอีกที่ก็ไม่ทันละ มืดแล้ว อดตามเคย



วันสุดท้าย...งานเลี้ยงย่อมมีเลิกลา ทริปนี้ใช้เวลาเกือบ 2 อาทิตย์ (12 วัน) เหล่าสมาชิก SNL พามากินข้าวที่ทุ่งคากาแฟ บนเขารัง ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมืองภูเก็ต การต้อนรับด้วยน้ำจิตน้ำใจไมตรีอันแสนอบอุ่นเหมือนเคย อาหารที่นี่อร่อยมากๆ ค่ะ (^___^)

ขึ้นเครื่อง 5 ทุ่ม กว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืน แม้จะจบทริปแบบไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้ขี่กลับ แต่ก็ได้อะไรมากมาย ความสนุกสนาน ประสบการณ์ และมิตรภาพ ทั้งจากเพื่อนและคนแปลกหน้า เรียกว่าอิ่มเอมในอารมณ์ไปได้อีกพักใหญ่ๆ

ฤดูการขี่รถท่องเที่ยว...กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เจอกันที่ไหนก็ทักทายกันได้เลยนะคะ

จบแล้วจ้า...ย้าว ยาววววว

ทริป Long Way Down สุดทางรัก...เอ้ย “รถแมงกะไซด์” ที่สิงค์โปร์ [ตอนแรก]

ทริปนี้เป็นทริปที่มีการคิดไว้ยาวนาน ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะมีตัวบังคับ นั่นก็คือ...การไปดู MotoGP ที่ประเทศมาเลเชีย ซึ่งการแข่งขันมอเตอร์ไซด์ของเจ้านี้ จะมีจัดขึ้นทุกๆ ปีในเดือนเดียวกันกันนี้ จึงทำให้สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ค่อนข้างแน่นอน แต่ไหนๆ ก็ได้ออกนอกประเทศทั้งทีและเป็นครั้งแรก ก็ขอยาวไปให้คุ้มเหนื่อย จึงไม่คิดจะหยุดแค่ในมาเลเซีย...ผลคือ ไปสุดทางรถที่สิงค์โปร์มันซะเลย คำนวนระยะทางคร่าวๆ คงเกือบ 5 พันโลหรือกว่าหน่อยๆ ตามแผนที่วางไว้จึงเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างจะยาวนาน เพราะใช้เวลาถึง 12 วัน นับจากย่างเท้าออกจากบ้าน...จนกระทั่งกลับมาที่เดิม ว่าแล้ว...ลุยกันเลย



ทริปนี้ผู้ร่วมเดินทางส่วนใหญ่เป็นที่คุ้นๆ หน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีจากบ้านพายุ หรือ เวปสตอร์มคลับนั่นเอง แต่...ผู้ร่วมผจญชะตากรรมในการขี่จากกรุงเทพมีเพียงสองคันเท่านั้น

รวมพลกันที่บ้านแถวๆ พระราม 3 ใจก็คิดว่าจะรอดไหม เพราะเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยสบาย เรียกว่าเป็นหวัดขั้นงอมแงม เรียกว่าลุ้นตั้งแต่ยังไม่ออกตัว กว่าล้อจะหมุนออกจากกรุงเทพก็ล่าช้ากว่าที่วางแผนไว้พอสมควร คือ ราวๆ 9 โมงกว่าๆ ขี่เรื่อยๆ ไปเรียงๆ ฟ้าครึ้มๆ ทำให้ไม่ร้อน



อากาศไม่ร้อนมากนัก เพราะมีเมฆฝนคอยบังแดดให้ร่มเงา แต่ก็ทำให้ต้องลุ้นอยู่ตลอดว่าฝนจะเทลงมาเมื่อไหร่



ทริปนี้ยกให้เพื่อนเป็นผู้นำทาง ในฐานะที่เป็นผู้คุ้นเคยเส้นทางมากกว่า รวมทั้งตัวเองที่ไม่ได้ติด GPS ไปด้วย ถึงประจวบคีรีขันธ์ร่วมบ่าย 2 ท้องส่งเสียงประท้วงว่าหิวแล้วนะ พร้อมกับถูกพาเลี้ยวไปยังถนนเลียบชายทะเล



และแล้ว...ก็ถึงเวลาหม่ำ ร้านอาหารเล็กๆ ชายทะเลประจวบ ที่เพื่อนบอกว่าเป็นร้านประจำของเหล่าสตอร์มเมื่อลงใต้ อาหารอร่อยสมกับเป็นอาหารร้านประจำ (สังเกตุข้าวในจานให้ดีๆ จะเห็นว่ามีข้าวสวยอยู่ก่อนแล้ว) ทั้งๆ ที่บนโต๊ะก็ยังมีข้าวผัดอีกจานโต



หม่ำๆ อยู่ดี ก็มีลมพัดกรรโชกอย่างแรง ชะโงกหน้าออกไปนอกร้าน ฟ้าเขียวปั้ด เมฆหนาปึ้ก เอาแล้วไง...ฝนมาแล้ว


หลังออกจากประจวบก็เจอฝนตลอดทาง เพื่อนอีกคันที่ป่วยขี่รถตากฝนโดยไม่ใส่เสื้อกันฝน ทำให้นึกว่าอาการจะแย่ลง ที่ไหนได้อาการหวัดดีขึ้นซะงั้น และแล้ว...ก็ถึงนครศรีธรรมราชโดยสวัสดีภาพรวมๆ 5 โมงกว่าๆ รวมเวลาเดินทางก็กว่า 8 ชั่วโมง ทำเวลาได้ไม่ดีนัก เพราะนอกจากฝนตกแล้ว ยังมีการทำถนนเป็นระยะๆ อีกด้วย

รุ่งเช้า...ได้ทราบว่ามีงานบุญประจำปีของจังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อว่า ยกหฺมฺรับ อ่านว่าหมับ เหมือนทำบุญประจำจังหวัดของทุกๆ ปี ฟังประวัติแล้วคล้ายๆ งานเช็งเม้งแบบไทยๆ ...ไหนก็มาได้จังหวะ ก็เลยออกมาดูซะหน่อย





ลักษณของที่ใช้เซ่นไหว้เซ่นไหว้


ซึ่งเทศกาลนี้ คือ ประเพณีเทศกาลเดือนสิบ จะมีทั้งหมด 3 วัน ด้วยกัน งานประเพณีนี้เริ่มในวันแรม 1 ค่ำถึงแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกๆ ปี ประเพณีเทศกาลเดือนสิบ เป็นงานบุญเพื่อแสดงความกตัญญูต่อบุพการีซึ่งล่วงลับไปแล้ว

ตามความเชื่อทางพุทธศาสนาว่าผู้ล่วงลับไปแล้วมีบาปมากจะตกนรกและกลายเป็น “เปตชน หรือ เปรต” จะถูกปล่อยตัวจากนรกเพื่อให้ขึ้นมาพบญาติพี่น้องและลูกหลานของตนในเมืองมนุษย์ในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ และให้กลับลงไปอยู่ในนรกดังเดิมก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จึงพยายามหาอาหารต่าง ๆ ไปทำบุญตามวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

เริ่มในวันแรม 13 ค่ำ ซึ่งเป็น “วันจ่าย” หมายถึง วันออกจับจ่ายซื้อของที่จำเป็นในการจัดตกแต่งหมรับ(สำรับ)

ในวันแรม 14 ค่ำ คือ “วันยกหมรับ” หมายถึง การยกหมรับไปวัดหรือวันรับตายาย

และ วันสุดท้าย คือ วันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่า “วันบังสุกุล” หรือวันส่งตายาย วันที่ผู้ล่วงลับจะต้องกลับลงไปอยู่ในนรกตามเดิม

สำหรับหมรับในปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาจากการจัดหมรับแบบดั้งเดิม เป็นการตกแต่งให้สวยงามมากขึ้น โดยมีองค์ประกอบครบถ้วนตามแบบโบราณและจัดให้มีการแข่งขันการจัดหมรับขึ้นอีกด้วย โดยจะมีพิธีขบวนแห่แหนกันอย่างสวยงามตลอดแนวถนนราชดำเนินในวันแรม 14 ค่ำ เดือนสิบ



ขวบนแห่...ที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม



แดดไม่มีเลย ไม่ร้อนแดด แต่ก็อ้าว เดินไปเดินมาแป็บเดียว...ตัวเหนียวหนึบ



ผู้คนเริ่มทยอยมาร่วมงานหนาตาขึ้นเรื่อย



คล้ายๆ ผีตาโขนเลย



เด็กๆ ในขบวนแห่



สาวๆ ก็มี รถขบวนคันนี้มาจากวิทยาลัยพยาบาล



สวยๆ ก็เยอะทีเดียว ^^



แปลกๆ ก็มี



คุณพี่คนนี้...ตีกลองยาวอย่างตั้งอกตั้งใจ, เงาะป่าก็มา, น้องตัวเขียวอี๋...ชอบๆๆ



แต่อยู่ไม่ถึงเริ่มเดินขบวน เพราะร้อนเหลือเกิน...เลยหนีกลับโรงแรมไปนอนต่อ -_-



รุ่งเช้าที่ 3 ของทริป เตรียมตัวออกเดินทางกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ตื่นตีสาม...กว่าจะเรียบร้อย ล้อหมุนก็เกือบ 6 โมงเช้า



ออกเดินทางจากนครศรีธรรมราช ไปยังด่านสะเดา เพื่อออกนอกประเทศสู่ประเทศมาเลเซีย รวมผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 11 คัน 12 ชีวิต (เพราะมี 1 สก็อย)



ระหว่างทางมุ่งหน้าสู่ด่านสะเดา



ถึงด่าน...สายพอสมควร ^^ เกือบ 9 โมงเช้า



ใครที่จะนำรถออกนอกประเทศไปมาเลเซียไม่ได้ยากเย็น แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลา...ควรให้คนมาดำเนินการเบื้องต้นก่อน ได้แก่การซื้อประกันภัย

สิ่งที่ต้องใช้ในการยื่นให้กับมาเลเซีย
1 แปลเล่มเป็นภาษาอังกฤษ (เอาไปให้หมด ซองและใบเสร็จ เผื่อเกิดอยากดู เคยโดนขอกันมาแล้ว)
2 จดหมายอนุญาตินำรถออกนอกประเทศจากไฟแนนซ์ (เป็นภาษาไทยได้, 1 ฉบับก็พอ)
3 ใบขับขี่ตัวจริง และ สำเนา
4 สำเนาบัตรประชาชน
5 สำเนาประกันภัยที่เราซื้อ
6 ทำสติ้กเกอร์เลขทะเบียนรถแปะที่รถเราให้เรียบร้อย (มีร้านทำที่ด่าน)
7 ถ้าไม่ใช่รถเรา ต้องมีจดหมายยินยอมจากเจ้าของ หรือไฟแนนซ์เจ้าของอีกฉบับ เป็นภาษาปะกิตนะคะ

หลังจากยื่นเอกสารผ่าน แล้วแต่ดวงว่าเจ้าหน้าที่จะเรื่องมาก มาค้นให้วุ่นวายหรือไม่ และถ้าไม่ดำเนินเรื่องเบื้องต้น ก็อาจเสียเวลามากขึ้น...เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมาก สำหรับคราวนี้โชคดี...ไม่ช้าอย่างที่คิด



ออกจากด่านฝั่งไทย ต้องมายื่นเรื่องเกี่ยวกับการนำรถเข้าประเทศมาเลเซียที่ห้องนี้ ซึ่งจะอยู่ทางขวามือ (ต้องกลับรถ) ก็จะได้กระดาษป้ายวงกลมสีเขียวอ่อนขนาดยักษ์ใหญ่ 1 ใบ เก็บไว้เป็นไม้กันหมาให้อุ่นใจ

วิ่งเข้ามาเลย์ผ่าน 2 แยกไฟแดง พอวิ่งลอดใต้สะพานลอยก็กลับรถได้เลย จะมีร้านอาหารอยู่ 2 ร้าน และเป็นจุดแลกเงินด้วย เราเลือกร้านในภาพ พูดจริงๆ ตามที่เห็น...ร้านข้างๆ คนเยอะกว่า แต่บางคนเลือกเป็นขาประจำร้านนี้เพราะเจ้าของร้านในภาพ...ซะงั้น



ทำเรื่องเรียบร้อยโรงเรียนมาเลเซียก็ปาเข้าไป 11 โมงฝ่าๆ ท้องส่งเสียง “โครกคราก” ประท้วงว่า หิวแล้วเฟ้ย



ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งโป็ก...วันที่เราแลกเงิน 9.8 บาท / 1 ริงกิตมาเลเซีย แต่มีคนบอกตรงด่านแค่ 9 บาท ก็เสี่ยงดวงกันเอานะคร้าบบบ



อาหารลงปุ๊บ แป๊บเดียวก็เกลี้ยง ถ่ายไม่ทันเลยทีเดียว (เพราะถ้ามัวแต่ถ่ายภาพ ก็คงจะไม่ได้กินเป็นแน่) กว่ามือจะว่าง ก็ไม่เหลืออะไรให้ถ่ายอีกแล้ว

อาหารแนะนำ...บักกุเต๋


คิคาปู้...ในบ้านเราสูญพันธุ์ไปละ, เครื่องดื่มสมุนไพรชูกำลัง...ตราแรด ดื่มแล้วจะแข็งแรงประดุจแรด (จริงหรือ??)



เตรียมอุปกรณ์กันฝนกันมาเต็มที่ โดนขู่ก็เยอะ... “ยากแน่ ฝนตกตลอด ชัวร์” แต่ปรากฏร้อนเปรี้ยง ไม่มีฝนซักกะแอะ


ที่มาเลเซียน้ำมันราคาถูกกว่าบ้านเรามาก เพราะเป็นประเทศในกลุ่มมุสลิม รวมทั้งสามารถผลิตน้ำมันเองได้ด้วย ตามปั๊มจึงไม่มีโซฮอลให้รำคาญลูกตา แถมมีแต่อ๊อกเทน 95 กับ 97 ไหนๆ ก็ไหนๆ เราก็เลยเติมแต่ 97 กันไปตามระเบียบ ขี่ลื่นวิ่งฉิวขึ้นอีกเป็นกระบุงโกย

คืนแรกในมาเลเซีย แผนที่วางไว้ คือ ขึ้นไปนอนที่คาเมลอนไฮน์แลนด์ ที่นี่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 4500 ฟุต จึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี เป็นที่พักผ่อนยอดนิยมอีกที่ในประเทศนี้ สภาพภูมิประเทศของมาเลเซียจะออกเป็นแนวภูเขาคล้ายๆ ภาคเหนือบ้านเรา วิ่งตามไฮน์เวย์มาเรื่อยๆ ก็จะเจอป้ายบอกทางขึ้น แต่ทางง่ายๆ เราไม่ไป พวกเราจึงออกทางถนนท้องถิ่นกันแทน เพื่อจะได้สนุกสนานกับทางบนเขาและโค้ง เสียงเล่าลือว่าถนนในมาเลดีมากๆ ก็ต้องลองของกันหน่อย (ก็จะไม่ดีกว่าบ้านเราได้ไง หน้ายางมะตอยบ้านเขาหน้าเป็นฟุต บ้านเราคืบเดียว)

ระหว่างทางขึ้นคาเมรอน ก็ได้แวะรีสอร์ทในป้ายบอกทางนี้แหละ อยู่บนเกาะ Pulau Banding ในทะเลสาบรึอ่างเก็บน้ำหว่าชื่อ Tasik Temengor ในรัฐ Perek



วิวสวยๆ ที่มองจากร้านอาหารของรีสอร์ทลงไปยังผืนน้ำด้านล่าง



อ่ะนะ...ขโมยซีนกันเห็นๆ



มาเลเซียแบ่งออกเป็น 13 รัฐ โดยกษัตริย์จะผลัดกันขึ้นครองราษฏร์ทุกๆ 4 ปี ดังนั้นเราจะเห็นธง 2 อย่างขึ้นคู่สู่ยอดเสา คือ ธงชาติ และ ธงประจำรัฐที่กษัตริย์กำลังขึ้นครองราษฐ์อยู่ ณ ช่วงเวลานี้



ไฮด์เวย์ยาวเหนือจดใต้กว่า 800 กิโล จนไปถึงสิงค์โปร์ ทางดีมาก...เรียบ ไร้โค้ง ก็เลย...โคตรง่วง ช่วง MotoGP ถือเป็นช่วงปล่อยผี ไม่ค่อยมีตำรวจให้เห็น เพราะได้ยินว่าปรกติหมาต๋ายุ่บยับไม่แพ้บ้านเรา แถมนิสัยเหมือนกันเปี้ยบ ผิดแต่กฏหมายเขาแรง...ถ้ายัดส่วยกันไม่รอด ก็มีเสียวละทีนี้

ทริปนี้โดนกับตัวไป 1 หน ไฮน์เวย์ที่จำกัดความเร็วไว้ที่ 120 ค่ะ ก็จะมีตำรวจมาจอดรถวางกล้องจับความเร็ว (เหมือนบ้านเรา) ทริปนี้ไม่มี GPS แบบที่ดักจับสัญญาณติดรถ เลยโดยไป ตำรวจ "จะปรับตรงนี้ หรือ จะเข้าไปปรับข้างใน ถ้าไปที่สถานนี้ 300 RM ถ้ายอมจ่ายตรงนี้จะถูกกว่า" ตัวเองฟังได้ยินประมาณว่าให้เราเสนอไปแต่เพื่อนบอกว่าเขาชี้แบงค์ 50 RM หนอยๆ หมาต๋าที่ไหนก็เหมือนๆ กันรึนี่ ก็ขำๆ กันไป



ตามเคย...ขอซักภาพ



อุปกรณ์เซอร์วิสพร้อม



กว่าจะขึ้นถึงที่พัก...ก็สิ้นแสงสุดท้ายพอดี



ช่วงนี้ถือเป็นช่วงวันหยุดยาวของชาวมาเลเซียเช่นกัน ที่พักบนสถานที่ยอดนิยมแห่งนี้ จึงหายากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร คราวนี้เราได้ที่พักที่ Villa Dhalia จริงๆ ที่ๆ ตั้งใจจะมาพักตอนแรก เต็มหมดแล้ว ขอบอก...ว่าไม่แนะนำ เพราะเก่ามาก ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ ก็อย่าเลย



อากาศที่นี่หนาวเย็นตลอดปี ในห้องพักไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม แต่ก็ไม่มีฮีทเตอร์ด้วยเหมือนกัน



มื้อเช้าจากความผิดพลาดของการสื่อสาร (แห่งประเทศไทย) “ เจอกันร้านเดิมนะคร้าบ” นี่คือผลลัพธ์ที่ได้


เพราะเมื่อวาน...หลังจากที่ถึงที่พัก เก็บข้าวของอาบน้ำเสร็จเป็นคนแรกๆ ด้วยความที่หิวจัด...ถามกันว่าจะไปกินร้านไหน ก็ได้คำตอบว่าเจอกันร้านเดิม แต่...ร้านเดิมไหน ออกไปกัน 2 คนและเพื่อนคนนี้พาไปยังร้านๆ หนึ่ง นั่งรออยู่นานสองนาน ก็ยังไม่เห็นใครมา แต่ด้วยความหิว จึงสั่งหม้อไฟชุดใหญ่สำหรับ 11 คน โทรหาใครก็ไม่ติด จนต้องขี่กลับไปดูที่ห้อง ก็ไม่มีใครอยู่เลย สรุปก็คือ ผิดร้าน ก็เลยสั่งให้ห่อกลับมาทั้งหมด กลายเป็นอาหารเช้าของวันถัดไปซะงั้น



เช้าต่อมา...มุ่งหน้าเข้ากัวลาลัมเปอร์ เขาก็ว่าจะแวะไปดูไร่ชากัน

“หมอ...ตามพี่กบไปนะ”

แต่...พี่กบไปผิดทาง และด้วยความที่เห็นโค้งแล้วมันส์ในอารมณ์ แซงไปเฉยเลย ลงไปซักพัก ไม่เห็นมีใครตามมาเลย



เจอไร่ชาใหญ่ ก็หยุดคอย ...เงี้ยบกริ้บ ซวยละตู ปรากฏว่าไปผิดที่

กว่าจะตามกันจนเจอ...ขอโทษก้าบ

และเราก็มาแวะกินอาหารเช้ากันที่ร้านนี้ก่อนไปไร่ชา ร้านนี้มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชา กาแฟ ช็อคโกแลต และสตรอเบอรี่ขายค่ะ



อาหารเช้า...สตอร์เบอรี่สตูเดิ้ล



ทางเข้าไร่ชาที่เราจะไปกัน



เป็นทางเลนส์เดียว รถสวนกันก็มีเสียวๆ หน่อย ต้องจอดคอยเวลาจะสวนกันตามโค้งต่างๆ แต่มอเตอร์ไซด์อย่างเรา...สบาย



ไร่ชา...สุดลูกหูลูกตา



ไร่ชาแห่งนี้มีบริการโรงแรม ในส่วนร้านอาหารและพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชา เข้ามาใช้บริการได้ฟรี ไม่เสียเงิน



ชื่อของไร่ชานี้ค่ะ ^^ Boh Tea Center



เมื่อหนุ่มๆ แอ๊บคิ๊กขุ



จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้ากัวร์ลาลัมเปอร์ หรือ KL นั่นเอง คืนนี้เราพักที่นี่ค่ะ ...เอ่อ ตึกเล็กข้างๆ นะคะ ไม่ใช่อันใหญ่



บริการใช้ได้ค่ะ อนุญาติให้เราจอดตรงนี้...ไม่ต้องเข้าไปจอดข้างใน


แต่เสียอย่างแรง ... ตัดไฟตอน 5 ทุ่มครึ่งนะคะ ต้องลองหาว่าจะมีบางปลั๊กที่ไม่ตัด แอบเซ็ง...กำลังเป่าแห้งรองเท้าอยู่ดีๆ ตัดไปซะงั้น



คืนนี้ก็ออกท่องราตรี ... หลายคนมีออเดอร์มาด้วย ต้องช้อปของไปฝากคนที่บ้านกัน จึงมุ่งหน้าไปยัง Suria ซึ่งก็คือศูนย์การค้าที่อยู่ในตึกปิโตรนาส เราเลือกใช้บริการขนส่งมวลชน เพราะได้ข่าวว่าการจราจรในเมืองนี้...ติดขัดไม่แพ้บ้านเรา ที่นี่มีรถไฟฟ้าให้บริการก่อนบ้านเราหลายปี รวมทั้งเจ้าโมโนเรลแบบนี้ที่กำลังจะทำในบ้านเราด้วยเช่นกัน



ชื่มชมอยู่ไกลๆ ถ่ายภาพมาครบ....เสมือนตามเก็บ RC ก็ทริปนี้เป็นทริปขี่รถเที่ยวนี่นา แบบนี้ไม่เน้น -_-‘ จริงๆ ไม่ใช่นะคะ อยากขึ้นไปชมวิวเหมือนกัน แต่เวลาไม่พอ

ตึกปิโตรนาส เปิดให้ขึ้นไปชมตรงทางเชื่อมระหว่างตึกได้ฟรี แต่ต้องไปรับบัตรแต่เช้าค่ะ (ปิด 5 โมงเย็น) ส่วน KL tower เสียเงินเข้าชม ปิดดึกกว่า (4 ทุ่ม)



คืนนี้เราแวะทานข้าวกันที่ Bukit Bintang เป็นย่านชอปปิ้งอีกแห่ง ซึ่งด้านหลังจะมีถนนที่เป็นร้านอาหารเรียงรายแบบนี้ ตามทำเรียกร้องของสมาชิกคนหนึ่ง แต่กลายเป็นว่าร้านที่ติดใจนั้นได้อันตรธานหายไปแล้ว ก็เลยต้องสุ่มๆ แบบว่าตาดีได้ตาร้ายเสีย (ก็เหมือนๆ บ้านเราอ่ะนะ)

วันนี้เป็นโชคดีของเรา..ที่เลือกไม่ผิดร้าน อาหารอร่อยพอใช้และราคาไม่แพง



และแล้วก็มาถึงวันที่รอคอย...การได้สัมผัส MotoGP ด้วยโสตประสาทแท้ๆ ของตนเอง



คนที่เคยไปมาแล้ว บอกว่าอาหารแถวสนามแข่งหากินได้ยากและมีราคาแพง เราจึงแวะกินติ่มซำที่อยู่ใกล้กับสนามอีกที (เมื่อไปถึงแถวนั้นให้กด GPS หาในหมวดอาหารจีน ร้านชื่อ HomeTown) เชื่อไหมว่าคน 13 คน กินกันแบบเต็มที่ ค่าอาหารประมาณ 500 บาทเท่านั้นเอง



วันนี้ส่งต่อ F800GS ไปให้เพื่อนอีกคนขี่ แต่งตัวแบบสบายๆ ด้วยกางเกงขาสั้น ผลคือบ่นอุบว่าขี่ไปหินดีดใส่หน้าแข้งเป็นระยะๆ



2 รถทัวร์ริ่งยักษ์ใหญ่ ที่มีแต่คนบอกว่าขี่ง่าย และขี่สบาย แต่ไงๆ ก็ขอบาย เพราะกลัวถูกล้มทับ



งานนี้ต้องยกนิ้วให้คันนี้ กับเจ้าของ...ที่กล้าเอารถโมตาร์ทมาขี่ที่ระยะทางไกลขนาดนี้ ทั้งเมื่อยตรูดและต้านลม b(^^)d



ดูกันชัดๆ BMW 1200GT เทียบกับ Multistada




จวนถึงสนามละ



ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ภาวนาอย่าให้ฝนตกเล้ยยย เดี๋ยวจะ...เลอะเทอะเฉอะแฉะ

ไปถึงก็เที่ยงกว่า แข่งรุ่นเล็กสุดไปแล้ว เดินๆ ดูของที่ขายหน้างานก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เดินหาที่เหมาะๆ ยืนดู เขาบอกไปดูตรง Hair Pin



เมื่อเข้าไปในสนามรุ่นกลางก็แข่งเสร็จพอดี


กำลังจะแข่งรุ่นสุดท้าย รุ่นใหญ่สุด รุ่นที่ทุกคนรอคอย ดูซิว่าวันนี้ รอสซี่ จะเป็นไงบ้าง คนมาเลเชียแต่รอสซี่ ^^



ริงไซด์เลยค่ะ ...งานนี้



รุ่นใหญ่สุด...ที่รอคอย กำลังจะแข่งแล้ว ^^



ขับเคี่ยวกันน่าดู งานนี้รอสซี่ฟอร์มเจ๋งสุดๆ ไล่จากอันดับ 8 จนคว้าแชมป์ได้ สุดยอด...คืนฟอร์มเร็วจริงๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุใหญ่มาหมาดๆ มาคอยดูกันว่าปีหน้า...ถ้าเปลี่ยนค่ายแล้วจะใช้เวลาปรับตัวนานเท่าไหร่ กว่าจะได้ขึ้นโพเดียมอีกครั้ง (ได้ยินว่าจะย้ายไปควบ Ducati)



เลิกปุ๊บ...คนก็กรูกันออก คนติด...เด๋วก็ต้องออกไปผจญกับรถติดอีก



แล้วก็เป็นจริงดังคาด รถติดมากซะจนต้องวิ่งบนหญ้าใหล่ทาง (Er6N)



ผู้คนมากมายที่มาชม มีทั้งเจ้าบ้าน ชาวต่างชาติ บิ้กไบค์ และ เด็กเว้นซ์เจ้าถิ่น


เสียงร่ำลือว่าเด็กเว้นซ์มาเลโหดกว่าบ้านเรามาก แต่คราวนี้ไม่เจอแบบนั้นเลย เพราะระหว่างทางที่ขี่มาสนามเจอกลุ่มรถเล็กเจ้าถิ่นก็หลบให้แต่โดยดี



ขี่กลับ KL ไปตาม GPS ก็นำไปคนละทางกับป้าย ทำให้คนซ้อนท้ายงงเล็กน้อย แต่ก็พบว่าทางโล่งและสั้นกว่าขามา


พูดตามที่เห็น...ประเทศมาเลเซียก็ไม่ได้เจริญกว่าบ้านเรา แต่การขยายเมือง...รัฐจะไปสร้างเมืองเปล่าๆ ไว้ แล้วก็ให้คนอพยพเข้าไปอยู่ได้ ทำให้ระหว่างการเดินทางจะเห็นเมืองสร้างใหม่...แต่ดูไร้ร้างผู้คนอยู่เป็นหย่อมๆ ซึ่งเพราะแบบนี้เอง ทำให้เราจะเห็นได้ว่าสิ่งก่อสร้างใหม่นั้นใหญ่โต อลังการ และยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้นั่นเอง



หลังจากดูแข่งจบ ก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม บ้างก็อยู่เรียนกับ Ducati, กลุ่มชาวนครขี่ไปนอนปีนังคืนนี้เลย ส่วนตัวเองอยู่เที่ยวสิงค์โปร์ต่อ ทำให้คืนนี้ยังมีเวลาท่องราตรี KL อีกคืน

หิวๆ ก็ออกไปหาอะไรกิน เปิดหนังสือท่องเที่ยว แนะนำ Berjaya Times Square เขาว่าเหมือนพาราก้อนบ้านเรา แต่เราว่าเหมือนพันธุ์ทิพย์ซะมากกว่า และไม่ค่อยร้านอาหาร ที่มีก็ไม่น่ากิน เลยต้องหาที่หมายใหม่ซิเนี่ย แต่ก็ได้กินคริสปี้ครีมรองท้องคนละหนึ่งชิ้น แล้วก็รู้สึกว่า...ไม่เห็นมันจะอร่อยอะไรกันนักกันหนา กินแล้วก็งั้นๆ ทำไมเห่อกันขนาดนี้ เลย...งงๆ



คิดอะไรไม่ออก...ให้นึกถึง China Town (Jalan Petaling) เข้าไว้ ไปประเทศไหนก็ต้องมี และรับรองว่ามีอาหารมากมายแน่นอน แล้วก็ไม่ผิดหวัง

ไปถึงก็จอดรถหน้าตลาด ก็มีมาเฟียมาไถตังค์ แต่เราก็ไม่ได้ให้ เดินทะลุเข้าไปในตลาด มีแต่ขายของ อารมณ์เหมือนพัฒพงศ์บ้านเรา จนคนบางคนบ่น “กลับเหอะ ไม่เห็นมีอะไรกินเลย” กลิ่นอาหารโชยมารำไร จึงไม่สนใจคำคนบ่น สุดท้ายก็มาเจอกับดงร้านอาหาร เราตัดสินใจเลือกร้านนี้ อาหารมีเป็นชุด หลักๆ คือ ข้าวไก่อบหม้อดิน ถ้าชุดใหญ่ก็จะได้อย่างที่เห็นในภาพ ประกอบด้วยชุป, ผัดผัก และผัดน้ำพริกเผาซีฟู้ด สนนราคาก็ 50 RM ขาดตัว

เพื่อนเป็นห่วงรถจึงเดินย้อนกลับไปเอา เพื่อจะย้ายมาจอดที่หน้าร้านอาหารเลย บอกว่ามาเฟียที่มาไถตังค์ตอนแรก มาคนเดียว แต่งตัวมอมแมมเหมือนขอทานมากกว่า พูดว่าขอตังค์หน่อย ต้องกินข้าว นู่นนี่นั่น ไปเอาเพื่อนมายืนล้อมรถอีก 2 คน ทำให้ต้องยอมจ่ายไป 10 RM แพงนะเนี่ย

ที่นี่เบียร์มีราคาค่อนข้างแพง ป้าเอาเบียร์มาเสริฟ บอก 15 RM ด้วยความที่ไม่รู้ราคา ก็บอกป้าไปว่าไมแพงจัง จ่ายไปแต่โดยดี ไม่วายลุกไปดูในร้านขายของชำข้างๆ ราคา 12 RM แฮ่ๆๆ...ว่าป้าไปซะแล้ว เขินชะมัด -_-“



ชะโงกไปดูร้านข้างๆ เห็นเขาเอาของสดมาเป็นไม้ๆ แล้วจิ้มไปในหม้อต้ม ตอนคิดเงินก็เห็นคนขายมายืนนับจำนวนไม้ อะไรไม่รู้...แต่คราวหน้าไม่พลาดแน่



เช้าวันที่ 7 ของการเดินทาง ออกจากที่พัก 7 โมงเช้า จาก KL ก็มุ่งหน้ายิงยาวตาม High Way ตรงตลอดไป Johobarhu แล้วตามป้าย Woodland เข้าไว้ มองหาตึกในภาพ และแล้วก็มาถึงชายแดนระหว่างมาเลเซียและสิงค์โปร์

ปัจจุบันประเทศอื่นๆ เขามี AutoPass กัน มันจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับพาหานะของเราเอาไว้ทุกสิ่งอย่าง (ประเทศเราไม่เข้าร่วมนะคะ ทั้งๆ ที่เกือบจะทั่วโลกเขาเข้าร่วมกันหมดแล้ว) ดังนั้นการจะเข้าสิงค์โปร์จึงยุ่งยากมาก เพราะเขาไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้แล้ว (มั้ง) ถ้ามีเจ้าบัตรนี้แล้ว ก็เพียงแต่เสียบบัตรลงกล่องอ่าน แล้วยื่นพาสปอร์ต ที่ตู้ตามปรกติได้เลย แป๊บเดียวก็เสร็จ

ผ่านด่านขาออกฝั่งมาเลเซียปุ๊บ เข้าฝั่งสิงค์โปร์ก็ต้องไปทำเจ้า AutoPass นี้ก่อน เสียค่าทำประมาณ 160 SDL กรุณาเตรียมเงินสิงค์โปร์ไปด้วยนะคะ ไม่งั้นจะวุ่นวาย เพราะกว่าจะหาได้ก็หืดขึ้นคอเลยคะ

เอกสารที่ต้องเตรียมยื่นให้ทางสิงค์โปร์
1 เอกสารแปลเล่ม (ตัวจริง)
2 สำเนาป้ายวงกลมของประเทศเรา (เขาบอกว่าถ่ายเอกสารมาเลยได้)
3 ป้ายวงกลมของมาเลเซีย (เขาขอดูด้วยค่ะ)
4 ชุดเอกสารที่ยื่นให้ทางมาเลเซียดู [ด่านจากไทยเข้ามาเลเซีย อาจจะยึดหรืออาจจะคืนให้ แต่คราวนี้ไม่โดนยึด] (เจ้าหน้าที่สิงค์โปร์เอาไปดูแล้วยึดไปเลย คาดว่าเขาไปใส่ข้อมูลใน AutoPass ให้)

ใบขับขี่, พาสปอร์ต เขาขอตัวจริงไปถ่ายเอกสารเอง รออยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะดำเนินการเสร็จค่ะ



พ้นด่านมาก็ขี่เข้าเมืองด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะกฎหมายที่นี่ค่อนข้างแรง ไอ้ที่ว่าแรงคือค่าปรับแพง แถมกล้อง CCTV ยุ่บยั่บยังกะตาสับปะรด ขี่ไปก็ร้อนๆ หนาวๆ เพราะจำกัดความเร็วเอาไว้ซะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ หาที่ติดตั้ง เครื่อง IU unit เหมือนในภาพ ซึ่งจะอ่านข้อมูลใน AutoPass ของเรา ในสิงค์โปร์จะมีโซน ERP ซึ่งจะเก็บเงินยานพาหนะทุกชนิดที่ใช้น้ำมันเมื่อคุณผ่านเข้าไป และก็จะหักเงินเราจากกล่องอ่านการ์ด ซึ่งเราต้องเติมเงินเอาไว้ให้เพียงพอ ถ้าไม่มีละก้อหมาต๋ามาทักทาย พร้อมใบสั่งที่เก็บค่าปรับสูงลิบลิ่วกันเลยทีเดียวค่ะ

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ติดตั้ง เพราะที่ร้านไม่รับบัตรเครดิต และเราก็ยังไม่ได้แลกเงินสิงค์โปร์เลยซักแดงเดียว เลยตกลงปลงใจจอดรถไว้ที่โรงแรม แล้วใช้บริการขนส่งมวลชน คิดแล้วไม่คุ้ม เพราะค่าติดตั้งไอ้กล่องนี่ก็เกือบ 3 พันบาท แล้วเราเองก็มีเวลาเที่ยวในนี้แค่ 2 วัน แต่คราวหน้าไม่พลาด...ต้องมาล้างตา



การเดินทางในสิงค์โปร์ที่สะดวกที่สุด ก็หนีไม่พ้นรถไฟฟ้านี่หละ ประหยัดและรวดเร็ว แม้สิงค์โปร์จะไม่ได้ใหญ่โต จะว่าไปทั้งเกาะยังเล็กกว่าภูเก็ตเสียอีก แต่ค่าแท็กซี่ที่นี่แพงหูฉี่ เพราะน้ำมันแพงกระฉูด

วันนี้เป็นวันหยุดของสิงค์โปร์ ทั้งๆ ที่เป็นวันธรรมดา แต่รถโล่งสุดๆ



สถานที่ท่องเที่ยวในสิงค์โปร์ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ รถก็ไม่ขี่แล้ว...ก็เลยไม่รู้จะทำอะไร ก็เหลือจุดประสงค์เดียวที่มาที่นี่ คือ ซื้ออุปกรณ์กับเกี่ยวกับการขับขี่มอเตอร์ไซด์

สถานที่: Little india, Jalan Basar

จริงๆ แล้วมีขายทุกอย่างตั้งแต่อุปกรณ์แต่งกาย ความปลอดภัย รวมทั้งอะไหล่รถจักรยานยนต์ แต่ก็ต้องระวังตอนขนกลับให้ดีๆ ไม่รู้ว่าตรงด่านบ้านเราขาเข้าประเทศจะเกิดเขี้ยวเมื่อไหร่ เพราะเคยได้ยินว่ามาบางครั้งต้องเสียภาษีอานเหมือนกัน

ลองเข้าไปค้นไป google map ดูนะคะ จะบอกว่าแผนที่ในสิงค์โปร์เจ๋งมาก เพราะสามารถหันซ้ายหันขวาได้ 360 องศาเหมือนไปยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ เลยค่ะ, keyword: little india, Jalan Besar, singapore motorcycle จะเจอร้านเพียบเลยค่ะ ลองเดินถามราคาเปรียบเทียบดูให้ดีนะคะ แล้วก็เมื่อได้ของแล้วให้เช็คของให้ดีก่อน อย่างเช่นกรณีหมวกกันน็อคให้ดูวันเดือนปีที่ผลิต เพราะบางทีเขาเอาของใกล้หมดอายุมาขายในราคาถูกค่ะ (ใครว่าหมวกกันน็อคไม่มีวันหมดอายุ ไม่จริงค่ะ เพราะเมื่อวัสดุหมดอายุ ก็จะกรอบแตกง่าย นั่นก็หมายว่าไม่ว่าจะยี่ห้อดีแค่ไหน ก็ปกป้องหัวเราไม่ได้แน่ค่ะ)



ร้านขายอุปกรณ์มอเตอร์ไซด์มีอยู่หลายร้าน แต่มีอยู่ร้านที่ต้องระวัง คือ ร้านสีส้ม (ร้านนี้อยู่ในตึก Coyuco Bluitding) คนขายออกจะเพี้ยนๆ หน่อย มาคราวนี้ตั้งใจจะซื้อหมวกกันน็อคใหม่ เพราะของเก่าที่ใช้ ได้เวลาหมดอายุ เลยสอย x-12 มาครอบครอง พร้อมกับซื้อชิลเป็นทูโทน จากร้านตรงข้ามกันนี้เอง ซื้อเสร็จก็ข้ามไปร้านสีส้มที่ว่า คนขายก็ถามว่าซื้ออะไรมา แล้วก็ไปยกของตัวเองมาโชว์ บอกสนนราคา 600 SD แกะกล่องหยิบของด้านในออกมา บอกว่าจริงๆ แล้วในกล่องต้องมีชิล 2 อัน ไอ้เราก็งงอ่ะซิ...เพราะมันเคยมีที่ไหนกันหล่ะ เราก็บอกว่าซื้อมาแล้วไม่รู้จะทำไงนิ ก็เลยถามเขาว่าอยากได้ชิลทูโทน เขาบอกว่ารุ่น x-12 ไม่มีผลิต งงไปกันใหญ่ แล้วไอ้ที่เราซื้อมา ร้านโน้นผลิตเองรึไงฟระ

จากร้านสีส้มนี้ ให้เดินไปทางตึกซิมลิ้ม จะมีร้านเปิดใหม่อยู่ตรงหัวมุมตึก (จากรูปใน Google map ยังเป็นร้านขายโคมไฟอยู่เลย) ขายของ Berik เพิ่งเปิด ช่วงนี้เลยยังขายราคาถูก เจ้าของเป็นฝรั่ง สอยของจากร้านนี้มาพอสมควร รองเท้าทัวร์ริ่ง 270 SD เอง เสื้อแจ็คเก็ต 300 SD ผลคือขากลับของหนักมากเลย ^^



เวลาที่คนเนืองแน่นเป็นแบบนี้, หน้าตาบัตร AutoPass, เฉลย...ที่ห้อยๆ อยู่ก็คือ บ้ะจ่างค่ะ ที่นี่มีร้านบ้ะจ่างขายแบบนี้เพียบ เก๋ไปอีกแบบ



ลืมที่นี่ไปเสียสนิท ไม่คิดว่าจะได้มา เพราะวันที่สองในสิงค์โปร์ไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว หลังจากแฮงค์เบียร์ 8.5% ของที่นี่ กว่าจะตื่นก็บ่ายกว่า

Marina Bay Hotel โรงแรมที่ทำรูปเรือในส่วนชั้นบนสุดพาดยาว 3 ตึก ส่วนบนนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชื่นชมได้ โดยเสียค่าบัตร 20 SD เปิดถึง 4 ทุ่ม เดินได้ทางส่วนหัวเรือ ไม่สามารถเข้าไปใช้บริการในส่วนของสระน้ำได้ ได้แต่ยืนดูตาละห้อย อยากว่ายน้ำ คราวนี้...ต้องมาพักสักครั้ง จะได้เล่นน้ำให้สมใจอยาก กำลังจะมีละครเวที Lion King มาเล่นที่นี่ปีหน้า...คงได้มาอีกหนแน่ๆ



คนตัวใหญ่ แต่ใจเหลือกระจิ้ดริ้ดเวลาอยู่บนที่สูง หรือ เรียกว่าโรคกลัวความสูงนั่นเอง และไม่น่าเชื่อว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาชมที่นี่ ก็คือคนไทยเรานี่เอง



ภายในมีร้านขายของแบรนแนม แม้จะ 4 ทุ่มกว่าแล้ว แต่ร้านค้าเหล่านี้ก็ยังเปิดอยู่ และมีคาสิโนอยู่ด้วย แต่ไม่ได้เข้าไป



จาก Merlion ให้เดินไปทางด้านซ้าย (หันหน้าไปทางแม่น้ำ) เลียบแม่น้ำไปเรื่อย จะพบร้านอาหารและผับมากมายตามถนนเลียบคลอด ตลอดระยะทาง 8 กิโล (แต่เดินไปแค่นิดเดียวค่ะ)

มีต่อตอนที่ 2 นะคะ เนื่องจากยาวเกินกว่าจะเขียนใน Blog เดียว ...อย่าลืมติดตามไปชมต่อนะคะ