วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ครั้งแรกกับการขี่เอ็นดูโร่ (KLX250) จากน่านสู่หลวงพระบาง [ตอนที่2]

Blog นี้เป็นตอนที่ 2 แล้ว ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรก กลับไปอ่าน ครั้งแรกกับการขี่เอ็นดูโร่ (KLX250) จากน่านสู่หลวงพระบาง [ตอนที่1] ก่อนนะคะ



ถึงหลวงพระบาง ราวๆ 3 โมงเย็น ยังไม่ทันได้อาบน้ำอาบท่า (เพราะรอรถเซอร์วิสขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้) ก็ตั้งวงกันหน้าโรงแรมแล้ว



ตั้งวงหน้าโรงแรมทุกเย็น



เพื่อนคู่ใจทุกค่ำคืน เบียร์ลาวหาง่ายที่สุด และดูเหมือนคนลาวเองก็ไม่ค่อยจะดื่มอย่างอื่นเสียด้วย แต่สามารถหาซื้อโซจูเกาหลีได้ตามร้านขายเฝอ ...เป็นงง



ค่ำคืนแรก พวกเราไปเดินเที่ยวที่ตลาดมืด เป็นตลาดที่ขายของยามค่ำคืน เหมือนถนนคนเดินที่เชียงใหม่บ้านเรา



เช้าวันที่ 2 เหล่าสิงห์นักบิด ก็ถูกต้อนขึ้นรถทัวร์ เพื่อเที่ยวชมเมือง สถานที่แรกที่แวะ...พิพิธัณฑสถานแห่งหลวงพระบาง



ฟังไกด์อธิบายเรื่องราวความเป็นมาของหลวงพระบางและพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง ได้ถูกเปลี่ยนแปลงมาจากพระราชวังหลวงพระบาง ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ อันเก่าแก่ของเมืองหลวงพระบาง
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1904 เพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงค์
ลักษณะ เป็นศิลปะแบบลาวผสมฝรั่งเศส มีแผนผังเป็นรูปกากบาท และ สร้างฐานซ้อนกันหลายชั้น



แหกตาสามัคคี....



ดูเหมือนแหล่งท่องเที่ยวในหลวงพระบางจะไม่ได้มีมากนัก แม้จะมีวัดเยอะ แต่ที่สำคัญๆ ก็มีเพียงไม่กี่วัด



ศิลปะการตกแต่งภายใน...สวยงามทีเดียว



แห่งที่ 2 ที่ได้มาเที่ยวคือ วัดเชียงทอง เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุด และปัจจุบันเป็นวัดหลวงที่ใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาที่สำคัญๆ ในวาระต่างๆ ของประเทศ



ราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งเก็บไว้ในโรงเก็บราชรถ (โรงเมี้ยนโกศ) ภายในวัดเชียงทอง



ลักษณะการสร้างบ้านในสมัยโบราณ นำไม้ไผ่มาสานเป็นโครงแล้วเอาปูนโบกทับ ซึ่งเหมือนกับที่พบเห็นได้แถวๆ เชียงคาน



ตกบ่าย...แวะจิบน้ำชากันที่ Joma Cafe ที่เขาว่าเค้กอร่อยที่สุดในหลวงพระบาง หรือเป็นเพราะมันมีร้านแบบนี้อยู่ร้านเดียวกันแน่หว่าาาา



^______^



พระธาตุพูสี...ทางขึ้นอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ต้องขึ้นไปตอนเย็น เพื่อไปดูวิวของเมืองและรอชมพระอาทิตย์ตก

ถ้าไม่ขึ้นไปตอนเย็นก็จะเหมือนข้าพเจ้า...ที่ต้องขึ้นไป 2 รอบ ขึ้นไปรอบแรกตอนเช้าพอลงมาก็สงสัย ทำไมไม่มีใครขึ้นไปเลยว้าาา ถึงบางอ้อ...เพราะไกด์บอกว่าจะพามาตอนเย็น จะได้ดูพระอาทิตย์ตกด้วยนั่นเอง



วิวเมือง...มองจากเขาพระธาติพูสี



ผู้คนคลาคล่ำ หลากเชื้อชาติ มารอคอยดูพระอาทิตย์ตก แต่เชื่อมั๊ยว่าที่เยอะที่สุด ก็คือพี่ไทยเรานี่เอง



ยามอาทิตย์อัสดง



เครื่องบินเตรียมร่อนลงยังสนามบินหลวงพระบาง



ในลาวก็มีคนขับแฮมเมอร์



สองคันนี้ไม่รู้มาจากไหน ประกาศขายอีกต่างหาก



ริม (แม่) น้ำคาน [ภาษาลาว น้ำ = แม่น้ำ ภาษาไทย]



สายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตและผู้คนริมน้ำ มาช้านาน



เด็กๆ เล่นน้ำอย่างสนุกสนาน



แสงสุดท้าย...



วันที่ 3 ของทริป พวกเราไปเที่ยวน้ำตก ( = ตาด) กวงสี อยู่ห่างจากหลวงพระบาง 25 km.



สวยมากๆ ^^



เป็นคนเดียวที่บ้าเดินขึ้นไปยังน้ำตกชั้นบน



เมื่อถึงบนสุดก็เห็นแค่เนี้ยยยย



สาวลาวสวยยยย....มาก



ไม่ต้องมีคำบรรยาย ^____^ ใครทำอะไรดูเอาเอง



ขี่กลับจากน้ำตก





หลักกิโลที่ 0 เห็นทีไรเป็นอดใจไม่ไหว ต้องหยุดเก็บภาพทุกที



ใส่บาตรเข้าเหนียวยามเช้า คนถ่ายรูปเยอะกว่าคนใส่บาตรเสียอีก



ใส่กันมือเป็นระวิง...แทบจกข้าวเหนียวไม่ทันพระเดินผ่าน



ตลาดเช้า...เป็นตลาดท่ี่ขายของยามเช้า (ชื่อก็บอกอยู่แล้วนิ)



ก้อนเขียวๆ คือสาหร่าย ส่วนข้างๆ กันก็พวงปู



ข้างโรงแรมมีจัดงานปีใหม่ ความบันเทิงยามค่ำคืน



น้ำเต้า ปู ปลา



คนมุงเพียบ



รำวง



แล้วก็...ตั้งวง



ไม้ท่อนโตๆ ไม่อยากคิดว่าอายุสักกี่ปี...แสนเสียดาย



ช้าง...พบเห็นได้ประปราย น่าจะเอาไว้ใช้ลากซุง



มิตรภาพที่พบได้ระหว่างทาง นักเดินทางกับผู้คนในท้องถิ่น



แม้ไม่รู้จักกัน...แต่น้ำใจที่หยิบยื่นให้แก่กัน ก็สามารถสร้างมิตรภาพและรอยยิ้มได้อย่างไม่ยากเย็น



ออกจากหลวงพระบาง 7 โมงเช้า ขี่กันเรื่อยสบายๆ แวะถ่ายภาพและก็หม่ำตลอดทาง ถึงด่านห้วยโก๋น 6 โมงเย็นพอดิบพอดี

จบทริปด้วยระยะทาง 400 กว่ากิโล ระยะทางไม่ใช่ประเด็นเสมอไป ระยะทางแค่นี้ก็ให้อะไรได้มากมายไม่แพ้ทริปยาวๆ ของตัวเองที่ผ่านมา


ขอบคุณรูปสวยๆ บางส่วนจากพี่แอนดี้ ช่างภาพประจำทริป และต้องขออภัยน้าบ๊วยที่ปาดหน้าแอบเอารูปของพี่แอนดีเมาลงก่อน เพราะมัวแต่คอยน้าคอยแล้วคอยเล่าเฝ้าแต่คอย รูปมันสวยจนอดใจไม่ไหวค่ะ ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น