วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

ทริปสุดมันส์...ครั้งแรกกับการขี่มอเตอร์ไซด์ลงใต้ จุดหมายปลายทาง...ภูเก็ต



ครั้งแรกกับการขี่เยือนภาคใต้ เป็นทริปดุ่ยๆ ไร้กำหนดการชัดเจน มีเพียงกำหนดการคร่าวๆ พร้อมกับเป้าหมายบางอย่างในใจ (ที่ไม่ได้ดังใจปรารถนา) 6วัน-5คืน กับการเดินทางใต้ดวงอาทิตย์ร้อนแรง กว่า 2,500 kms มิได้สัมผัสฝนใต้อย่างที่กังวลในใจแม้แต่น้อย เสียงเล่าอ้างว่าขี่ลงใต้น่าเบื่อ แต่ก็มีเสียงล่ำลือเช่นกัน...ว่ามีเส้นทางสวยๆ ซ่อนอยู่ จึงได้เวลาพิสูจน์ด้วยตัวเองสักทีเป็นทริปที่มันส์สุดบรรยาย กับคอนเซ็ป...ทริปเสีย (ดาย) ของ เรื่องเป็นอย่างไรต้องติดตามอ่านดูค่ะ

หลังจากที่ไม่ได้ขี่ไกลๆ เป็นเวลากว่า 4 เดือน ก็ทนเสียงเรียกร้องของตัวเองไม่ไหว ต้องจัดทริปเสียหน่อย เริ่มมาจาก The Gang ร่ำๆ ว่าอยากกินกั๊ง จึงจัดทริปเยือนเมืองนครศรีธรรมราช แต่ไปๆ มาๆ สมาชิกหดหายไปจนหมด เหลือเพียง 2 คน ใช่ว่าคนน้อยแล้วจะกลัว เลยกลายเป็นว่ายืดวันและเพิ่มเติมจุดหมายเข้าไปอีก ^^

ปล.
- ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าเราแวะเติมน้ำมันกันทุกๆ 150-200 km เพราะรถอีกคันวิ่งได้เต็มที่ 200 km เพราะถังน้ำมันเขาเล็ก จึงวิ่งได้เท่านี้
- วงเล็บตัวเลข คือ เลขที่ของถนนหนทางค่ะ เพื่อใครอยากรู้ว่าสถานที่ต่างๆ นั้นอยู่ที่ไหน หรือ จะไปก็ตามตัวเลขกันไปได้เลย (แต่เดี๋ยวนี้แผนที่อาจไม่สำคัญแล้ว เพราะใครๆ ก็มี GPS กันทั้งนั้น)

ว่าแล้ว...ลุยเลย ล้อหมุนจากพระราม 3 ราวๆ 10 โมงกว่า เพราะความเฟอะฟะส่วนตัว ลืมนู่นลืมนี่ให้คนอื่นปวดหมองเล่น แต่ก็ได้ออกจากกรุงเทพฯ จนได้สิน่า

เพราะออกสาย จึงรีบทำเวลา ยิงยาว มุ่งหน้าจากพระราม 3 แอบขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมไปลงฝั่งสุขสวัสดิ์ ขาลงสะพานเห็นด่านตำรวจ ใจแป้ว...นึกว่าโดนแน่ๆ แต่ผ่านฉลุย สงสัยคงจะใกล้เที่ยง…คุณตำรวจเลยพักเบรค ออกสู่ถนนพระราม 2 (35) ตรงเข้าสู่เพชรบุรี (4) ยิงยาวจนถึงประจวบคีรีขันธ์ จากที่ว่าจะแวะกินอาหารทะเลกันกลางวัน จุดแวะพักกินข้าวจึงกลายเป็นอาหารง่ายๆ ในปั๊มแถวๆ ประจวบไปโดยปริยาย



รูปภาพ...ปั๊มที่แวะเติมน้ำมันแถวๆ ชุมพร งัดกล้องเล็กออกมาถ่ายรูปซะหน่อย แต่ผลคือปิดกระเป๋าคาดเอวไม่ดี ทำให้กล้อง compact 2 ตัวอันตรธานหายไปกับสายลมอย่างช่วยไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ได้ยินว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง กับการเสียของโดยหล่นไประกว่างทาง...โปรดระวังให้ดี !!!

คืนแรก...ยิงยาวเข้านครศรีธรรมราช

เหล่าบรรดา storm ได้เตรียมตัวต้อนรับ นำโดย นายหัวเน็ต และโกทอม ที่ขี่ออกมารอรับที่ปั๊มแถวๆ ทุ่งสง แล้วขี่นำเข้านครฯ โดยผ่านเส้นทางสายใน (403,4238,4015) ได้สัมผัสโค้งและเขาให้พอแก้ความเบื่อได้บ้าง (กล้องเล็กๆ ที่ติดเอว หายไปหมดแล้ว จึงไม่มีภาพมาให้ได้ชมกัน)

เส้นทางลงใต้ ทางฝั่งอ่าวไทยนั้นมีแต่ตรงๆ กับตรงอย่างเดียว เพราะเป็นเส้นทางหลัก แถมยังเต็มไปด้วยรถบรรทุกมากมาย น่าเบื่อสมคำเล่าลือ แต่หากสำหรับสิงห์ทางตรงที่ชอบทำความเร็ว อาจจะเป็นที่ชื่นชอบก็เป็นได้

ค่ำคืนนี้...แผนการกินกั้งเป็นอันฝันสลาย เพราะไม่ได้โทรแจ้งร้านประจำล่วงหน้า จึงปรากฏว่ากั้งหมด กลายเป็นอดกินกันไปซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เป็นจุดประสงค์หลักแรกที่ทำให้ทริปนี้ก่อกำเนิด

เช้าวันรุ่งขึ้น นายหัวเน็ต ทำหน้าที่เจ้าบ้านนำชิมอาหารท้องถิ่น ซึ่งเราเลือกชิมขนมจีนแบบใต้และข้าวยำ แล้วนำเที่ยวสถานที่สำคัญๆ ในตัวเมือง แล้วก็แวะวัดประจำจังหวัดซะหน่อย เพื่อความเป็นสิริมงคล (เหมือนแก่ยังไงไม่รู้แฮะ แต่ก่อนไปไหน วัดเวิดไม่มีสนใจ)


ศาลหลักเมือง


วัดพระธาตุวรมหาวิหาร


วัดพระธาตุวรมหาวิหาร (เดิม:วัดพระบรมธาตุ) เป็นวัดหลวง (พระอารามหลวง) ชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช อันกล่าวได้ว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญมากในภาคใต้ ภายในวัดมีโบราณสถานที่สำคัญคือ องค์พระบรมธาตุเจดีย์ ปลียอดทองคำ



... ภายในเจดีย์ สามารถเดินขึ้นไปได้
... ชาวบ้านกำลังทำพีธีเพื่อนำผ้าจีวรพันรอบองค์เจดีย์



ช่วงบ่าย...เดินทางออกจากนครฯ มุ่งหน้าต่อไปยังกระบี่ โดยมี 2 สมาชิก storm ขี่มาส่งกลางทางโดยลัดเลาะตามมาถนนระหว่างอำเภอ แบบสองเลนส์สวน (4015,4195,4019,4038) มีบางช่วงมีทางเขาสั้นๆ โค้งให้ได้เล่นแก้เบื่อ มาทะลุออกแถวอำเภอคลองท่อม มุ่งหน้าสู่กระบี่ (4)



ถึงกระบี่บ่ายคล้อย...พร้อมกับสภาพอากาศที่ร้อนตับแล่บ ช่วงเข้าสู่กระบี่ก็เจอละอองฝนปรอยให้คลายความร้อนลงบ้าง มุ่งหน้าไปยัง หาดนพรัตน์ธารา เพื่อเสาะหาที่พัก...แล้วก็ได้ที่นี่ ศาลาทะเล เรียกว่าใจง่ายเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นแห่งแรกที่แวะดู...พอเห็นสระว่ายน้ำปุ๊บก็โดดตระครุบห้องทันที พนักงานบอกว่าห้องเหลือไม่มากแล้ว เพราะยังเป็นช่วงไฮอยู่ (จริงไม่จริงไม่รู้ล่ะ)



เช้าวันที่สาม...ออกเดินทางท่องเที่ยวในกระบี่ เพื่อนร่วมทางในครั้งนี้ มากระบี่เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่อิดออดแต่อย่างใด ปล่อยให้ข้าพเจ้าคิดได้ตามสะดวก หวยไปตกที่สระมรกตและน้ำตกร้อน ดูจากแผนที่...ห่างจากที่นี่ไปอีก 50 km ลุยโลด...แต่ดันไม่ใส่เสื้อแจ๊คเก็ต แดดแรงและร้อนมาก ซันบล็อคที่โปะไปก็เอาไม่อยู่ ผลคือ sun burn เป็นแถบๆ (สมน้ำหน้าจริงๆ)



คุยกันว่าถึงสระมรกตเมื่อไหร่...จะแช่น้ำให้ชุ่มปอด ระยะทางจากปากทางเข้าต้องเดินเท้าไปอีกเกือบกิโล ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงคนแซ็งแซ่ขึ้นเรื่อง...ชักยังไงๆ เหมือนอยู่แถวๆ สระว่ายน้ำยังไงยังงั้น แล้วก็จริงดังว่า...คนเพียบ



จากสระมรกตมีสะพานไม้ให้เดินต่อไปได้ จะพบสระฤาษี ที่ไหนได้...ห้ามเล่น เดินต่อไปอีก...จนสุดทางที่ บ่อน้ำผุด สวยมากๆ ก้นบ่อเป็นสีฟ้า และมีลักษณะเหมือนทราย

หมอ "น้ำใส น่าเล่นจัง"
นพ "ไม่น่าจะเล่นได้นะ เห็นก้นบ่อป่าว มีฟองอากาศผุดขึ้นมาด้วยนะ"
หมอ "แล้วไงต่อ"
นพ "ข้างใต้อาจเป็นโพรงที่มีแก๊ส มันจะยุบตัวลงไปได้ ทำให้เกิดทรายดูดไง"

ถึงบางอ้อทันที ถ้าเป็นแบบนี้ แน่นอนต่อให้ไม่ห้าม ก็คงไม่กล้าเล่นแน่นอน ไม่งั้นอาจจะเจอทรายดูดก็เป็นได้ ...เสียววุ้ย



ถอยทัพ ย้อนกลับมาหาที่เล่นน้ำ...ระหว่างทางพบลำธารเล็กๆ "เอาวุ้ย...เล่นตรงนี้ดีกว่า คนไม่พลุกพล่น" ไม่รอช้า...เปลี่ยนเสื้อผ้า เปิดเพลงเพราะๆ ลงแช่ในทันที เล่นเอาคนเดินผ่านไปมางง...เสียงเพลงมาจากไหน?!! แต่อุณหภูมิของน้ำกลับไม่เย็นเจี้ยบจับใจเหมือนน้ำตกในที่อื่นๆ ...ก็ยังดีกว่าไม่ได้เล่น แช่และชิวอยู่เกือบชั่วโมง...ถึงได้บอกลาไปที่อื่นต่อ



เส้นทางเดินกลับจะเป็นอีกทางกับขาเข้า จะพบสระน้ำอีกหลายจุด แต่สภาพบึงหรือสระเหล่านี้จะมีสภาพแวดล้อมเหมือนกับโดยรอบบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งไม่เหมาะสมกับการลงเล่นน้ำเหมือนสระมรกต



จุดแวะต่อมาคือ น้ำตกร้อน แวะมาพิสูจน์ว่าร้อนจริงหรือเป็นแค่ชื่อเท่านั้น หลังจากพิสูจน์ด้วยเท้าตัวเองแล้ว พบว่าเป็นน้ำตกที่น้ำมีอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส จากภาพจะเห็นได้ว่ามีหลายครอบครัวพาบรรดาผู้สูงอายุมาแช่...ราวกับเป็นบ่อน้ำร้อนเลยทีเดียว

ท้องร้องจ๊อกๆ ประท้วงต้องการพลังงาน บอกลาน้ำตกร้อน กลับที่พัก หาอะไรหม่ำมื้อเย็นดีกว่า ^^


ภาพเรือจมในคลอง ตัวเมืองกระบี่


บรรยากาศยามเย็น ตัวเมืองกระบี่


บรรยากาศ...ทะเล, กระบี่


อาหารทะเลแถบนี้กลับมีราคาแพงกว่าภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบนมากจนขนหัวลุก รวมทั้งอาหารจะทำออกไปในแนวฝรั่งมากกว่า เลยกลายเป็นว่ามาทะเลกระบี่ทั้งที แต่ซัดพิซซ่ากันทั้งสองคืนเลย

ทะเลกระบี่...แม้ทรายจะไม่ขาว น้ำจะไม่ใสเท่าภูเก็ต แต่รู้สึกได้ถึงความสงบเงียบที่มากกว่า ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมาก ต่างกับภูเก็ตที่อะไรๆ ก็ดู colorful ไปซะหมด ทำให้คึกคึกร่าเริงได้ตลอดเวลา



วันที่สี่...มุ่งหน้าสู่ภูเก็ต ออกจากที่กระบี่ราวๆ 11 โมง กด GPS บอกว่า 56 km ถึงภูเก็ต ไอ้เราก็...แหม นิดเดียวเอง แต่พอขี่ออกไปเจอป้ายทางหลวง บอกระยะทางไปภูเก็ต อีก 150 กว่ากิโล ถึงบางอ้อ...อ๋อ มันบอกเป็นเวกเตอร์นี่เอง

สัมผัสสะพานท้าวเทพกษัตรีย์...พระอาทิตย์ตรงหัวพอดิบพอดี แวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ระหว่างสะพานเก่า (สารสิน) ที่กำลังจะปลดระวางกลายเป็นสะพานคนเดินในไม่ช้า



นัดเจอคุณนก แห่ง SNL phuket ที่โลตัส เพื่อนำพาไปยังที่พักสุด Hip เช่นเดิม...เห็นปุ๊บชอบปั๊บ The sky hotel

ปล.ทางขึ้นที่จอดรถชันมั่กๆ

กำหนดการเดิมคือเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ แต่โรงแรมก็สวย แถมคุณนกยังบลิวท์ว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ถ้าอยู่ต่ออีกวัน พรุ่งนี้น่าจะมีเพื่อนพาขี่เที่ยวรอบเกาะเยอะ ถ้าวันนี้ก็จะมีเพียงคุณนกคนเดียว ...ว่าแล้วจะปฏิเสธไปใยรีบโทรไปลางานเพิ่มอีกวันอย่างไม่มีอิดออด เป็นอันว่าอยู่เที่ยวเพิ่มอีกนึงวัน


วิวจากห้องอาหารที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม...เบื้องหน้าคือเขารัง


สภาพภายในห้องที่มีลักษณะเหมือน penthouse มีชั้นลอยและโถงล่างใหญ่



แต่นี่สิ...ที่น่าว้าวววว อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ครบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เครื่องซักและอบผ้า เรียกว่าใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ต้องพึงโลกภายนอกยังได้เลย

บ่ายวันนี้จึงชิวๆ ...ทำธุระปะปังให้เสร็จ ที่ว่าทริปเสียของนั้น ยังมีอีกหลายเรื่องราว ต่อด้วยพื้นรองเท้าของคุณนพ (สมาชิก The Gang ที่เดินทางมาด้วยกัน) นั้นเริ่มอ้า ทั้งๆ ที่เพิ่งซื้อมาไม่กี่เดือน เดือดร้อนต้องหาที่ซ่อมเป็นการด่วน (น่าจะเดาได้ไม่ยากว่าซื้อมาจากที่ไหน) แถมเสื้อแจ็คเก็ตก็เริ่มปริขาด ต่อมาก็นำ F800GS ไปเข้าศูนย์ตั้งโซ่ เพราะเริ่มตกท้องช้าง ผลจากการใส่น้ำมันโซ่น้อยไปทำให้โซ่ยืดก่อนกำหนด (กลับไปก็เสียตังด์อีกแล้วเรา)

อากาศร้อนสมกับเป็นเดือนเมษายน จึงแวะกินโอ้วเอ๋ว ขนมน้ำแข็งใสพื้นเมืองที่มีขายที่ภูเก็ตเพียงทีเดียว ที่เกือบจะอดกินเพราะหมดพอดี แต่ชาวบ้านเจ้าถิ่นใจดี...เสียสละ ซื้อกลับบ้านน้อยถุงลงเพื่อให้พวกเราได้กินเป็นสามถ้วยสุดท้าย ดูเผินๆ หน้าตาก็เหมือนวุ้นบ้านเรานั่นเอง แต่ว่าไม่ใช่ ร้านเก่าแก่ดั้งเดิมก็คือร้านโอ้เอ๋วแป๊ะเอ้ง อีกร้านก็คือโอ้เอ๋วโกโรจน์ ทั้งสองร้านตั้งอยู่ติดกันในซอยสุ่นอุทิศ


หน้าตาขนมโอ๋วเอ๋ว [Credit: http://www.nairobroo.com]



จากนั้นจึงขี่ไปร้านอาหารแถวๆ สะพานสารสิน เพื่อตามหาเรือเจ็ตโบ๊ตในภาพ เปลี่ยนบรรยากาศมาดริฟเรือกันบ้าง เอาหน้าปะทะลมทะเลยามเย็น...ผ่อนคลายสุดยอด เล่นได้เพียง 15 นาทีน้ำมันหมด ยังไม่ค่อยมันสะใจเท่าไหร่เลย



มื้อค่ำ...เหล่าบรรดา SNL รวมพลต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเกือบ 10 ชีวิต ณ ร้านอาหารน้ำย้อยของคุณมะเดี่ยว หนึ่งในสมาชิก SNL เช่นกัน google map ร้านนี้จัดว่าเป็นร้านอาหารชื่อดังในจังหวัดเลยค่ะ


ต่อด้วยการดื่มน้ำขมกับน้ำอ้อยต้ม เสมือนกันรับน้อง


และแวะไปชิวต่อที่ ร้านเหล้าเพลินจิต ยอดฮิตของคุณเอก

ฟ้าหลัวกลัวฝนตก...จึงเคลื่อนทัพขี่ขึ้นไปยังจุดชมวิวเขารัง ก่อนแยกย้ายกันไป บางส่วนแวะขี่มาส่งถึงที่พัก ทำหน้าที่เจ้าถิ่นได้อย่างน่าประทับใจ กับความมีน้ำใจและเอาใจใส่อย่างเต็มที่ มิตรภาพที่ดีก่อกำเนิด ทำให้รู้สึกว่าต้องกลับไปรบกวนอีกอย่างแน่นอน (ไม่ได้มีเกรงใจกันเลยเรา) อ่านเรื่องราวในช่วงภูเก็ตบางส่วนได้จากกระทู้นี้ค่ะ ---> stormclub.com



เช้าวันที่ 5 เรามีนัดกับ SNL เพื่อขี่รถเที่ยวรอบเกาะ เจ้าถิ่นเสนออาหารเช้ามาให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ แต่ดูเหมือนว่าโรตีแกงจะเข้าตามากที่สุด



Atom (จุ๊บ SNL) บอกว่าจะพาไปยัง “หรูดหอย พานหิน” เขาว่าเป็นวงเวียนที่ครั้งยังเด็ก...เลิกเรียนแล้วคิดไม่ออกว่าจะไปไหนต้องมาเริ่มต้นด้วยการขี่รถวนรอบ แล้วถึงจะรู้ว่าจะไปไหนต่อดี

รูปร่างมันเหมือนหอยจริงๆ ด้วย...มันคือ อุปกรณ์ในเรือขุดแร่โบราณ นอกจากนี้มันยังเอาไว้เป็นสไลด์เดอร์ที่เหล่า SNL เคยมาเล่นเมื่อตอนเด็กๆ ...!!! แต่ตอนนี้โตเกินไป มันเลยเป็นอย่างที่เห็น



ระหว่างที่เฮฮาอยู่นี้ ก็ได้ยินเสียงดังโครม มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นใกล้ๆ...มอเตอร์ไซด์ขี่มาชนท้ายรถที่จอดอยู่ในวงเวียน แต่เป็นเพราะรถจอดใกล้แยกเกินไป สรุปรถผิดไปตามระเบียบ



จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คุณนพเริ่มคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง รีบบึ่งไปรับรองเท้าที่ซ่อมไว้มาใส่ในบัดดล



ขี่ไปแวะไป เพราะร้อนเหลือหลาย...ต้องแวะเติมน้ำให้กับร่างกายคนบ้าง ไม่งั้นเดียวจะเฉาได้เช่นกัน

หาดแรกที่แวะ จำชื่อไม่ได้...ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ และก็มีเรือประมงขนาดเล็กจอดอยู่ จึงไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หาดนี้


ร้อนแค่ไหน พวกเราก็ไม่ได้เกรงกลัว ลั่นล้าเดินออกไปถ่ายรูปได้ตลอด


ปรกติถ้าเจอผู้หญิง...แหววจะยุให้ขี่ เพราะอยากให้ผู้หญิงมาขี่ BB เยอะๆ แต่กับ atom ไม่คิดแม้ซักนิด เป็นสก๊อยถ่ายรูปต่อไปอ่ะดีแล้ว เพราะรูปสวยดี ^^


ขี่ลัดเลาะชายทะเล มายังจุดชมวิวสามอ่าว อ่าวกะตะน้อย-กะตะ-กะรน ลมตึง...พัดผ่านตัวเปียกๆ เย็นสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


เน้นขี่รอบเกาะ ไม่เน้นแวะ... ดังนั้นก็ขี่ไปเรื่อยๆ ชื่นชมแบบไกลๆ หาดไหนที่พลุกพล่าน...เราไม่สน
หาดยอดฮิตอื่นๆ เช่น ป่าตอง เรามิได้เฉียดใกล้ ไม่ไปผจญรถติดให้เมื่อยตุ้ม


แวะพักกินน้ำกันที่หาดในทอน


อยู่ๆ ก็มีคุณแม่ลูกสามหุ่นเช้งกระเด๊ะมายืนออกกำลังในชุดบิกินีต่อหน้าต่อตา ทำเอาหนุ่มๆ กำเดาเกือบกระฉูด
แถมคุณสามีเห็นด้วยนะว่าพวกเรายืนดูอยู่...กลับเอาแต่หัวเราะซะงั้น อย่างว่ามีของดีมันคงก็น่าภูมิใจเป็นธรรมดา




ออกไปยืนถ่ายรูป กระโดดเหยงๆ ไปมา เพราะทรายร้อนฉะมัด ทำเอาบาทาแทบสุก


เวลายังเหลือ ไม่น่าเชื่อว่าโปรแกรมขี่รถรอบเกาะได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ...หาอะไรทำต่อไปดีละหว่า งั้น...หาอะไรเย็นๆ ลงท้องกันดีกว่า ระหว่างทางขี่ผ่านสนามบิน มีเครื่องบินกำลังลงจอด พวกเราจึงแวะชื่นชมใกล้ๆ สักหน่อย




เข็นรถ...สุภาพบุรุษกันทั้งน้าาาน ไม่ช่วยเล้ยยย


มีผู้คนสงสัยมากมาย ว่ารถใหญ่กว่าตัวขนาดนี้เอาอยู่จริงๆ เหรอ ตอบว่าพอไหว ช่วยตัวเองได้ ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน หรือเป็นภาระ แต่ในบางสถานการณ์อาจต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งเราต้องเรียนรู้ตรงนั้นและหลีกเลี่ยงค่ะ


รถคันนี้สูงมากจริงๆ เอาเป็นว่าถ้าต้องขี่แต่ในเมืองขอบายค่ะ ไม่สู้ ดังนั้น...บางครั้งต้องขอตัวช่วย เวลาติดไฟแดงก็ไปใกล้ขอบทางแบบนี้นั่นเอง


แวะไปกินกาแฟกันที่ เรือนไม้แก่น (ออกจากเกาะภูเก็ตไปทางพังงา) ดับร้อนและฆ่าเวลารอพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ก่อนจะย้อนกลับไปแหลมพรหมเทพอีกครั้ง


แวะ วัดฉลอง นมัสการหลวงพ่อแช่ม เพื่อความเป็นสิริมงคล



ขณะกำลังถอดเสื้อแจ็คเก็ต ก็เอากล้อง DSLR วางบนเบาะ เดินเอาเสื้อไปเก็บ คุณนพผู้หวังดีช่วยกดเสื้อเพื่อปิดกล่องท้ายรถ ด้วยน้ำหนักตัว (คนกด) อันน้อยนิด กล้องน้อยกลอยใจจึงร่วงลงสู่พื้น เลนส์กระจายออกเป็นสองส่วนในทันที ปิดตำนานทริปเสียดายของ กับการสูญเสียกล้องไปสามตัว ภาพหลังจากนี้จึงมาจาก iPhone ล้วนๆ T_T หลังจากกล้องตัวสุดท้ายตก คุณนพรีบเดินไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้พระกันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ไม่ว่าที่ผ่านมาจะแวะวัดใดๆ ก็จะไหว้ด้วยใจเพียงเท่านั้น แถมยังเดินไปเอาน้ำมนต์มารดอีกต่างหาก

ไปถึงแหลมพรหมเทพด้วยความเซ็งจิต เฝ้ารอคอยเวลาอาทิตย์อัสดง พร้อมกับผู้คนมากมาย มาภูเก็ตก็หลายที แต่ไม่เคยได้เที่ยวในเกาะเลย ครั้งนี้จึงพลาดไม่ได้อีกที่จะต้องมาจุดเก็บ RC นี้


ถึงปั๊บ...ก็หาอะไรกินก่อนเลย ว่าแล้วก็...น้ำมะพร้าว




ระหว่างรอ...ก็หาอะไรทำกันไป





แก๊งค์ Snail Line Phuket เหล่าบรรดาทากน้อยที่ให้การต้อนรับขับสู้และดูแล ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างดีเยี่ยมและเต็มกำลัง ความจริงใจที่สัมผัสได้เหล่านี้ ก่อกำเนิดเกิดเป็นมิตรภาพและความทรงจำที่แสนดี ยากจะลืมเลือน แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราได้พบปะพูดคุยทำความรู้จักกันก็ตาม...ขอบคุณค่ะ


ระหว่างที่อาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ก็มีเรือคาตามารันลำนี้...เล่นผ่าน ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กลับกลายเป็นพร๊อบในการถ่ายภาพเป็นอย่างดีเลยทีเดียว



วันที่หก ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกลา และแล้วก็ถึงวันที่ต้องเดินทางกลับบ้าน ...กับการยิงยาวกลับกรุงเทพฯ ออกจากภูเก็ต 8 โมงเช้า พอพ้นเกาะ มุ่งหน้าตามป้ายกระบี่ (402,4) นั่นหมายความว่าเรามุ่งหน้าเข้าสู่ถนนเลียบฝั่งทะเลอ่าวไทย แต่เราต้องการไปทางเขาสก ไหนๆ ใครๆ เขาก็ว่าสวย...อย่าให้พลาด จึงกลายเป็นว่าเป็นการวกกลับโดยผ่านตามเส้นทางสุราษฎร์ (415)เลี้ยวซ้าย (401) วกเข้าพังงา(ตะกั่วป่า) จะผ่านเขาสกดังใจหวัง เข้าสู่ถนนเพชรเกษม (4) อีกครั้ง แต่เป็นการเลาะทะเลฝั่งอันดามัน เรียกได้ว่าเห็นทะเลลิบๆ ดังภาพ


ถนนเลาะฝั่งอันดามัน



ทางสวยเป็นช่วงๆ มีโค้งให้เล่นสนุกๆ แต่คงต้องทำใจกับรถราซักเล็กน้อย เพราะรถค่อนข้างเยอะ ทั้งรถบรรทุกทั้งเล็กใหญ่ รวมทั้งมอเตอร์ไซด์ที่วิ่งออกจากซอกซอยได้อย่างน่าหวาดเสียง เล่นเอาผู้ร่วมทางใจแป้วไปหลายครั้ง เพราะเขาเป็นด่านหน้าวิ่งตะลุยไปก่อน เลยเจอเรื่องหวาดเสียงอยู่คนเดียว วิ่งผ่านสุราษฏร์-ระนอง เข้าสู่ชุมพรจุดที่เส้นทางสาย 4 ทั้ง 2 เส้นมารวมกันเป็นเส้นเดียว จอดเติมน้ำมันที่ศูนย์บริการทางหลวงเขาโพธิ์ ปรากฏว่า ER-6n ยางรั่ว โชคดีที่มีร้านปะอยู่ใกล้ เสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง แวะหม่ำข้าวเย็นที่หัวหิน ท้ายที่สุด...ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิ์ภาพเกือบ 5 ทุ่ม ระยะทางขากลับเกือบพันโล หย่อนไปแค่ 10 กิโลกว่าๆ เท่านั้นเอง

จบทริป...แบบสะบักะบอมเล็กน้อย แต่ไม่รู้ทำไม...ขี่เท่าไหร่ไม่เคยพอ ยังไงก็ยังเหมือนไม่อิ่ม ว่าแล้วคิดทริปต่อไปเลยดีกว่า...อย่าช้า

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ



ทริปนี้ภาพจากกล้องของตัวเองมีน้อยนัก เพราะกล้องเล็กหายหมด แถมกล้องใหญ่ก็พกลำบากหยิบยาก เลยไม่ค่อยมีรูปภาพวิวข้างทางขณะขับขี่สักเท่าไหร่ สงสัยคราวหน้าต้องหาแท็งค์แบ็คสักใบน่าจะดี ^^

Credit ภาพในช่วงภูเก็ต: Atom และ XI friday

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น