วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทริปทรมานสังขาร ควบ F800GS ตะลุย...เชียงคาน-น่าน-เชียงราย-เชียงใหม่-อุ้งผาง ใน 6 วัน

ปีนี้ดูเหมือนลมหนาวจะมาเยือนเร็วกว่าทุกปี ร่ำร้องให้ออกไปขี่รถท่องเที่ยวนัก อดรนทนไม่ไหวต้องออกไปจนได้ซิน่าาาา แม้ทั้งปีจะไม่ได้ไปไหน อย่างน้อยเดือนธันวาคมก็จะต้องมีกันซักทริป เป็นเหตุให้ได้รับการชักชวนจากหลายกลุ่มให้มาพบเจอกันบ้าง ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาก็นับเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ทำให้กลายเป็นว่าต้องคิดเส้นทางที่พอจะได้พบเจอเพื่อนๆ ให้ได้มากที่สุด เป็นที่มาของทริป 6 วัน 5 คืน กับระยะทางกว่า 3 พันกิโลแม้ว ให้ทรมานสังขารเล่น อิอิ แต่...ขึ้นชื่อว่า sweetsyrup กลัวที่ไหน (ก็คิดเองนิ จะกลัวได้ไง)



ออกสตาร์ทด้วยเลยไมล์ตามในภาพ ถึงบ้านก็ทะลุ 2 หมื่นโลไปเรียบร้อยแล้ว ว่าแล้วลุยกันเลยดีกว่า ^____^


คืนก่อนเดินทาง ก็ได้ทำการแพครถ เห็นการ์แฮนด์หนีบสายเบรคอยู่ จึงจัดการให้เข้าที่เข้าทาง แต่ดันทำน็อตหล่นลงไปในตัวรถ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ทำให้ต้องถอดแฟร์ริ่งออกมาซะงั้น กรรม...แทนที่จะได้นอนให้เต็มอิ่ม กลายเป็นว่าได้นอนไป 1 ชั่วโมง T__T



เช้าวันแรก...ออกเดินทางตีห้าครึ่ง ปั๊มแรกที่แวะ ก็เจอก๊วน BB เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพกันแล้ว


วิ่งจากกรุงเทพไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ ผ่านหล่มสัก เข้าด่านซ้าย เพื่อไปยังเชียงคาน จังหวัดเลย ซึ่งเป็นจุดหมายของเราในคืนนี้



ทางเลี่ยงเมืองเพชรบูรณ์ที่สวยงาม ถนนดี รถราน้อย...



เพราะทำเวลาได้ดีกว่าที่คำนวนไว้ สถานที่ท่องเที่ยวจึงงอกเพิ่มมา...นั่นคือ ภูเรือ



เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่ (ภูเรือ)... สูงกว่าภูกระดึง



อุทยานแห่งชาติภูเรือ เป็นภูเขาสูงใหญ่ บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน มีลักษณะแปลกคือมีส่วนหนึ่งเป็นผาชะโงกยื่นออกมาเหมือนหัวเรือสำเภาใหญ่



จากจุดจอดรถ เราต้องเดินหรือไม่ก็ขึ้นรถกระบะของชาวบ้านขึ้นไปอีกประมาณกิโลกว่าๆ งานนี้ขอเลือกประหยัดแรง ขึ้นรถ...ไปกลับก็ 40 บาท



มุ่งหน้าไปเชียงคาน โดน GPS นำไปทางท่าลี่ ผลคือ บางช่วงถนนแย่สุดๆ หลุมบ่อ กรวด มีครบ คงกะให้สมกับเอา GS มาลุย

เคยสงสัยกันไหมคะ ว่า GS มาจากอะไร... GS มาจาก Gelände/Straße เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่า off-road/road นั่นเอง



ถึงเชียงคานบ่ายสามโมงกว่าๆ คืนนี้เราพักที่สุเนตา อาบน้ำอาบท่าคลายร้อน ไม่รอช้าแล้วก็รีบออกไปชมเมืองในทันที



ที่นี่มีที่พักมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนเรียบริมโขง โดยขึ้นหัวเป็นโฮมสเตย์แทบทั้งหมด ซึ่งจริงๆ ก็เป็นแบบนั้น ยกเว้นบางแห่งที่มีผู้มาพักมากมายซะจนเจ้าของตัวจริงต้องระเห็จออกไปมีบ้านใหม่เสียเลย



สเน่ห์ของเชียงคานคือบ้านไม้เก่าที่ถอดยาวไปตามถนนเลียบริมแม่น้ำโขง พร้อมๆ กับอัธยาศัยมิตรไมตรีจากเจ้าบ้าน ที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็จะได้รับแต่รอยยิ้มและเสียงต้อนรับ

ถ้าคุณชอบบรรยากาศเก่าๆ พร้อมกับผู้คนพลุกพล่านผ่านไปมาข้างๆ ห้องนอน เชียงคานจะเป็นสถานที่ในฝัน แต่คุณจะไม่มีทางได้ตื่นสาย เพราะจะได้ยินเสียงผู้คนออกมาเพื่อใส่บาตรตั้งแต่เช้าตรู่ และจะตามมาด้วยเสียงพระสวดให้พร แต่โดยส่วนตัวชอบความเงียบสงบในยามพักผ่อนมากกว่า ความเหมือนที่แตกต่างกับปายนี้ ทำให้ใจยังคงคิดถึงเมืองปายอยู่เหมือนเดิม



แม่น้ำโขงในส่วนนี้ กว้างใหญ่ นำความสงบเงียบ และฉ่ำเย็น มาสู่ผู้ที่ได้สัมผัส เพียงเหม่อมองไปสุดสายตา เสมือนความอ่อนล้าในจิตใจจะมลายหายไปได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว



ทางเดินเลียบแม่น้ำโขงที่ทำไว้อย่างดี แม้จะไม่ได้ยาวมากนัก แต่ก็ยาวพอให้ซึบซับบรรยากาศได้เต็มๆ อิ่ม



ใครที่จองที่พักมาจากทางบ้าน ไม่ต้องกลัวว่าจะหายากหรือหาไม่เจอ เพียงแค่เดินบนถนนเลียบริมโขงตั้งแต่ต้นทาง รับรองว่าหาเจอแน่ๆ แต่หากใครอยากมาลองหาเอาดาบหน้าก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เพราะที่นี่มีบ้านพักมากมายเหลือเกิน ยังไงก็มีที่ให้พักแน่ๆ แถมบางที่ๆ ไม่ได้ลงในอินเตอร์เน็ท น่ารักมากๆ เอาเสียด้วย

ของที่ระลึกมีมากมาย ตั้งแต่เสื้อ จนไปถึงของทำมือน่ารักๆ หลากหลายรูปแบบ ให้เลือกซื้อไปฝากเพื่อนฝูง ไปมาก็ตั้งไม่รู้กี่ที่ ไม่เคยซื้อเสื้อเลย ไม่รู้ทำไมชอบอะไรกับคำว่า “คาน” นัก ขนซื้อไปฝากเพื่อนเป็นกระบุง เกือบๆ 10 ตัว ^^



บรรยากาศยามเช้า...หมอกจางๆ เมื่อคืนอากาศเย็นสบาย เรียกว่าไม่ต้องเปิดแม้กระทั่งพัดลมเสียด้วยซ้ำ



บ้านเก่าหลังนี้ ใครมาเป็นต้องตามหาเพื่อถ่ายรูป ปัจจุบันไม่มีผู้อยู่อาศัยแล้ว เหลือไว้เป็นจุดสนใจให้นักท่องเที่ยวได้แวะเวียนมาเก็บภาพ



อาหารเช้า...ไข่กระทะ



ตู้ไปรณีย์แบบโบราณ จุด RC อีกจุดที่ตามเก็บ คุณบุรุษไปรษณีย์มาพอดี...เลยขอถ่ายรูปมาซะเลย



เช้าวันที่สอง กว่าจะออกจากเชียงคานก็ 10 โมงกว่า ทั้งๆ ที่แพลนไว้ 8 โมง แวะไปชมแก่งคุดคู้ แต่คนเยอะเหลือหลาย เลยชะโงกแชวบๆ แล้วก็ไปที่อื่นต่อดีกว่า



วันนี้เราจะมุ่งหน้าไปนอนที่ภูคา จ.น่าน GPS นำกลับมาทางท่าลี่ จึงแวะสักการะพระธาตุสัจจะเพื่อเป็นสิริมงคลเสียหน่อย



เส้นทางท่าลี่นี่เอง ที่บอกไปแล้ว่าแย่ มันแย่ถึงขนาดขี่มาดีๆ กลายเป็นทางกรวดทรายไปซะงั้น



ตาม GPS มาเรื่อย ผ่านมาทางชาติตระการ เข้าอุตรดิตถ์ ผ่านน้ำตกภูสอยดาว จนเข้าน่าน จนมาถึงทางแยกซ้ายไปนาน้อย ขวาไป ??? ซึ่ง GPS บอกให้ไปทางนี้ คืนนี้จะไปนอนภูคา



ทางก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ



จนกลายเป็นทางลูกรังในที่สุด เลี้ยวเข้าไปก็ชักรู้สึกแปลกๆ จนต้องจอดเพื่อจะถามเพื่อนว่าจะไปต่อกันดีไหม เพื่อนตามมาบอกว่า เมื่อกี้ตรงแยกทางเข้าถนนเส้นนี้...มีตำรวจเดินมาบอกว่า “ไปได้ ถนนเสียหน่อยนึงนะ”

ขี่เข้าไปเรื่อยๆ ทางก็เล็กลงเรื่อยๆ และเละขึ้นเรื่อย จากที่เป็นลูกรัง เริ่มเป็นกรวดลอย ร่องน้ำ บางช่วงเต็มไปด้วยหญ้า เหลือเพียงรอยล้อรถยนต์เท่านั้น ระยะทางประมาณ 10 กว่าโล แต่กว่าจะหลุดออกมาได้เกือบ 2 ชั่วโมง



กว่าจะออกมาได้ก็โพล้เพล้พอดี เจอป้ายที่เต็มไปด้วยรอยกระสุนแบบที่เห็น...บรื้อย์ วิ่งมาเจอหมู่บ้าน จอดเติมน้ำมัน ชาวบ้านบอกว่าทางนี้เลิกสร้างมา 5 ปีแล้ว ก็เลยเป็นแบบนั้น กลับไปดูใน GPS มันเป็นเส้นประ เฮ้อ...เราผิดเองที่ไม่ตั้งให้เลี่ยงทางลูกรัง แต่ก็มันส์ดีค่ะ และก็เพราะไม่รู้ว่าถนนจะเป็นแบบนี้นานเท่าไหร่ ก็ร้อนๆ หนาวๆ จะได้กินข้าวลิงเหมือนกัน
บางครั้ง GPS ก็พาเราไปสัมผัสกับทางใหม่ๆ ที่ไม่เคยมา แต่บางครั้งมันก็พาเราไปในทางเจ้าปัญหาด้วยเช่นกัน เช่น ทางที่เก่าแล้ว ถนนไม่ดีเป็นต้น ฉะนั้น...ขณะที่ใช้ GPS ก็ต้องทำใจเผื่อไว้หน่อย เพราะมันก็ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น

ที่จะไปนอนภูคาก็เพราะนัดกับเพื่อนกลุ่มนึงไว้ กว่าจะถึงภูคาก็ปาเข้าไป 2 ทุ่ม เลยไม่ค่อยได้มีโอกาศได้โอภาปราศัยกับกลุ่มเพื่อนนี้ที่มาจากพิษณุโลกสมดังตั้งใจซักเท่าไหร่ แถมเพื่อนกลุ่มนี้ออกกันแต่เช้าเสียอีก กว่าจะเก็บของเสร็จปรากฎว่าเขาก็ออกเดินทางไปที่อื่นแล้ว



ได้กางเต้นท์นอนสมใจอยาก ... น้ำค้างแรง หมอกลงจัด และอากาศหนาวมาก



เพราะทางเมี้ยนๆ จาก GPS เมื่อวาน ทำให้พลาดไปหลายโปรแกรมที่วางไว้ หนึ่งในนี้คือ บ่อเกลือ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก จึงย้อนกลับไปดู (จากอุทยานแห่งชาติภูคาไปอีก 23 กิโล)

บ่อเกลือนี้คือ บ่อเกลือสินเธาว์ หรือ เกลือภูเขา ปัจจุบันชาวบ้านยังคงต้มแกลือด้วยวิธีแบบดั้งเดิม จะตักน้ำเกลือจากบ่อส่งผ่านมาตามลำไม้ไผ่สู่บ่อพัก การทำ เกลือ ของชาวบ้านบ่อเกลือ นำน้ำเกลือที่ตักจากบ่อมาต้มในกะทะประมาณ 4-5ชั่วโมงให้น้ำเกลือระเหยแห้งจาก นั้นก็จะนำไม้้พายมาตักเกลือใส่ตะกร้าที่แขวนไว้เหนือกะทะเพื่อให้น้ำเกลือไหลลงมาในกะทะทำอย่างนี้ ไปเรื่อย จนน้ำในกะทะแห้ง หมดแล้วจึงตักน้ำเกลือจากบ่อมาใส่ลงไปใหม่ หลังจากนั้นใส่ถุงวางขาย กันหน้าบ้านเกลือ เมืองน่านไม่มีไอโอดีนเหมือน เกลือทะเลจึงต้องมีการเติมสารไอโอดีนก่อนถึงมือผู้บริโภค



ป่าสนดึกดำบรรพ์ อยู่ระหว่างทางไปบ่อเกลือ



ทางสวยๆ จากน่านไปเชียงราย วันนี้นัดกับเพื่อนอีกกลุ่มไว้ที่เชียงราย จึงมุ่งหน้าไปแบบสบายๆ ไม่ได้มีจุดแวะใดๆ ในแผน



วิวสวยๆ มีให้เห็นตลอดทาง อยากจะจอดถ่ายรูปมันเสียทุกที่



ด้วยความที่ไม่มีแผนใดๆ เจอป้ายแหล่งท่องเที่ยว น้ำพุร้อนโป่งกิ ก็รีบเลี้ยวเข้าไปทันที แล้วก็ต้องผิดหวังตูมเบ้อเริ่ม เพราะกลายเป็นบ่อร้างไปเสียแล้ว ทางเข้าก็เจอกับสะพานขาดอย่างที่เห็น



ผิดหวังอย่างแรงกับโป่งน้ำร้อน แต่กลางทางเจอป้ายบอกว่าเส้นทางเดียวกันนี้ยังไปน้ำตกได้อีก ยังไม่เข็ด เห็นชื่อคุ้นๆ ชื่อน้ำตกตาดฟ้าร้อง จากทางปูนกลายเป็นทางดินแบบบ้านๆ ผ่านเอ่งน้ำบ้าง กรวดลอยบ้าง กว่า 5 กิโลก็ไม่ถึงซักที จนเจอชาวไร่... "อย่าไปเลย ทางมันลำบากกว่านี้อีก กลับเถอะ" คนทักทั้งที มีหรือจะไม่เชื่อ ไม่รอช้า กลับรถเลยสิคะ ^^ เป็นอันว่าชวดไปอีกหนึ่ง แต่ก็ถือว่าได้ฝึกทักษะเอ็นดูโร่แทน



เส้นทางภาคเหนือกับอีสานตอนบน ส่วนใหญ่ก็วิวสวยเกือบหมด แต่ที่ต้องยกให้เป็นอันดับต้นๆ คือ เส้นจากน่านไปพะเยา และถนนก็ดีมากๆ ด้วย



จุดหมายของคืนที่ 3 คือ เชียงราย วันนี้เราจะไปนอนบ้านเพื่อนคนหนึ่ง ปรากฏว่ามีกลุ่ม BB มาจอยถึง 2 กลุ่ม ได้แก่ H-D playground และกลุ่มเพื่อนที่รู้จัก (ที่นัดไปเจอ) เจ้าบ้านต้อนรับได้อย่างประทับใจมาก เกินร้อยกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นปาร์ตี้ย่อยๆ ได้เลย



ต้นแบบ กระเป๋า touratech



จุดหมายวันที่ 4 ใกล้ๆ ไม่ไกล แค่เชียงใหม่ เลยเถลไถลไปเรื่อย เริ่มต้นที่ดอยแม่สลอง ไม่เคยมา ก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามันไม่มีอะไร คล้ายๆ บ้านรักษ์ไทย แต่ที่นั่นเจ๋งกว่าเยอะ อ้ะ...ไม่เป็นไร ถือซะว่าขี่รถเล่น



พระธาตุบนดอยแม่สลอง เขาว่าถ้าไม่ได้ขึ้นไป ถือว่ามาไม่ถึงดอยแม่สลอง



มาตามเส้นฝาง ก็เห็นป้ายดอยอ่างขาง ไม่เคยมา และ ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ถนนเส้นนี้ ว่าแล้วก็เลี้ยวซะ เจอวัดนี้ก็รี่เข้าไปเลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร แต่ว่าวัดแถวๆ นี้สวยหมดค่ะ ผ่านกี่วัดๆ ก็ว่าสวยมาก แต่แวะทุกวัดไม่ไหว...มันร้อน



บ้านทรงไทยล้านนาในวัด สวยน่าอยู่มากๆ แต่ไม่น่าจะเหมาะกับคนขวัญอ่อน



ขาขึ้นดอยอ่างขางน่าจะเป็นทางเส้นเชียงใหม่-ฝาง (107) ที่ กม 137 เส้นนี้จะมีช่วงที่เป็นโค้งพับสูงชันอยู่ช่วงใหญ่ๆ ส่วนขาลง ลงทาง อำเภอเชียงดาว มาบรรจบกับเส้นเชียงใหม่-ฝาง (107) เช่นเดิม แต่ที่ กม 79 เส้นนี้จะยาวและวิวสวยกว่า ไม่ชัน แต่ถนนแคบ



สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรม ทดแทนการปลูกฝิ่น สถานีวิจัยแห่งแรกของโครงการหลวง อยู่บนเทือกเขาตะนาวศรี ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร และมียอดดอยสูงถึง 1,928 เมตร พื้นที่รับผิดชอบประมาณ 26.52 ตารางกิโลเมตร หรือ 16,577 ไร่ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “ให้เขาช่วยตัวเอง” เปลี่ยนพื้นที่จากไร่ฝิ่นมาเป็นแปลงเกษตรเมืองหนาวที่สร้างรายได้ดีกว่าเก่าก่อน



ภายในโครงการ มีการจัดแบ่งออกเป็นหลายๆ ส่วน ตามลักษณะของแปลงเกษตร เพื่อให้ผู้เข้าเยี่ยมชมได้รับความเพลิดเพลินจากดอกไม้นานาพรรณไปพร้อมๆ กับความรู้



นอกจากนี้ก็ยังมีชาวเขาทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาหารายได้ยังชีพด้วยการขายของที่ระลึก คุณยายในภาพคือชาวเขาที่ซื้อของแกมา ถามแกด้วยว่าทำไมต้องนั่งตากแดด แกบอกมันอุ่นดี ^^ กำลังจะออกรถ มีเด็กชาวเขาวิ่งปรีเข้ามาแล้วพูดว่า “พี่คับๆ ซื้อผมมั่ง กระจายรายได้ๆ” O_o’โอ้โห ทันสมัยนะเนี่ย



บนเส้นทางดอยอ่างขางนี้ ดอกพญาเสือโคร่งก็บานสะพรั่งให้เราเห็นเต็มสองข้างทาง



ชาวดอยที่ขายของอยู่ระหว่างทาง หน้าตาน่ารักมากๆ ^^ อดใจไม่ไหว เหมือนตุ๊กตาเลย ขอมา 1 แช๊ะ อิดออดเล็กน้อย แต่ก็ยอมยิ้มหวานๆ ส่งมาแต่โดยดี


คืนที่ 4 นอนเชียงใหม่ แล้วก็เลยออกไปท่องราตรี พบปะเพื่อนฝูงในงานเปิดตัวร้าน Triump และเพื่อนชาวเชียงใหม่ ครบทุกคนสมกับที่ตั้งใจไว้ไม่ตกหล่น เช้าวันที่ 5 ออกจากเชียงใหม่ราวๆ 10 โมง มุ่งหน้าแม่สะเรียง วันนี้กะจะไปนอนอุ้งผาง จะถึงไหมหนอ กลัวทำเวลาไม่ทัน ลุ้นๆ อยู่



ในภาพเป็นแม่น้ำเลียบถนนแถวๆ ออบหลวง



ปีนี้ถนนดีขึ้นกว่า 2 ปีที่แล้วที่เคยมา และก็มีรถราผ่านไปมามากกว่าแต่ก่อนมาก ไม่น่ากลัวแล้ว



แม่น้ำสองสี คือจุดที่แม่น้ำ 2 สายมาบรรจบกัน จึงเห็นเป็น 2 สี เป็นจุดแวะพักที่เจอ ก่อนจะถึงท่าสองยาง น่ากางเต็นท์นอนมากๆ เพราะบรรยากาศชิวสุดๆ



ก่อนเข้าท่าสองยาง ได้มีการก่อสร้างถนน ถ้าเทียบกับเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่มา ประเมินว่าก้าวหน้าไปนิดเดียวเอง ไม่รู้ว่านะสร้างมาจนถึงแม่สะเรียงเลยไหม และตอนนี้แม่สะเรียงก็เจริญขึ้นกว่า 2 ปีที่แล้ว หน้ามือเป็นหนังมือเลยทีเดียว



หมู่บ้านชาวเขา??? หรือผู้อพยพ??? อันนี้ไม่แน่ใจ พบเห็นระหว่างทางไปแม่สอด สร้างกันได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก แลดูคล้ายๆ กันหมด จนน่าฉงนใจนัก ว่าจะกันได้อย่างไร ว่าบ้านใครอยู่ตรงไหน จะมีป้ายบอกแบ่งเป็นล็อคเหมือนหมู่บ้านในเมืองหรือเปล่านะ???



ไปถึงแม่สอดตอน 5 โมงเย็น เปิด GPS ถูกหลอกอีกแล้วว่าไปอุ้งผางแค่ 95 กิโล เลยตัดสินใจไปนอนอุ้งผาง วิ่งไปจนถึงถนนเข้าอุ้งผาง เจอป้ายบอก 145 กิโล กลับลำไม่ทันลำ กว่าจะถึงปากทางเข้าน้ำตกทีลอซูก็ทุ่มนึงพอดี เจ้าหน้าที่นำไปลานกางเต็นท์ แล้วก็เปิดไฟห้องน้ำให้ แถวนี้ไม่มีอะไรขายเลย ดีที่พกของกินมาด้วย ไม่งั้นละ...แย่แน่เลยทีเดียว



ตื่นแต่เช้ารีบเก็บของ ถามเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวขี่รถมอเตอร์ไซด์เข้าไป แต่ถ้าเป็นรถ SUV หรือกระบะเข้าได้ ค่าเหมารถเข้าไป 1500 บาท ออกจะแพงไปซักหน่อย กับระยะทาง 23 กิโล คิดดูเล่นๆ ว่าถ้ามาน้อยคนอย่างที่ทำอยู่ แล้วมีเงินติดตัวมาไม่มาก คงต้องตัดใจแน่ เลยตัดสินใจยืนรอเพื่อโบกรถเข้าไป กะว่าจะรอแค่ 1 ชั่วโมง แต่ไม่นานก็มีรถเข้าไป จะว่าไปจริงๆ ก็มีรถเข้าออกอยู่เรื่อยๆ



ปากทางเข้าไปใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ทางค่อนข้างจะไม่ดี แต่จริงๆ แล้ว ถ้าขี่มอเตอร์ไซด์แบบลุยๆ หน่อย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ยกเว้นเวลาสวนกันที่อาจเกิดอันตรายได้ ทำให้เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ถึงต้องห้ามนำรถเข้าไป



น้ำตกทีลอซู ความงามที่คุ้มค่ากับความพยายามที่จะเข้ามาเยี่ยมชม ต้องปีนป่ายกันเล็กน้อย กว่าจะมาถึงจุดที่ได้ภาพนี้ และทำให้เราได้ตระหนักว่าจริงๆ แล้วเราผู้เป็นมนุษย์นั้นเล็กน้อยเพียงฝุ่นละอองธุลีดินของธรรมชาติ แต่ใยอาจหาญอยากที่จะเปลี่ยนแปลงนู่นนี่ๆ นั่นและละโมภเอามาเป็นของตนมากมายเกินความต้องการอยู่ร่ำไป



กลับออกมาจากน้ำตกบ่าย 3 ตรงดิ่งกลับกรุงเทพ ยิงยาวรวดเดียว ถึงบ้านราวๆ 3 ทุ่ม ^^ จบทริปด้วยระยะทาง 3500 โลกว่าๆ ทริปนี้เรียกว่าครบรส ทุกรูปแบบ โหด มัน ฮา จริงๆ ค่ะ ...^^ เล่นเอาปวดเมื่อยเหมือนกัน



มีคลิปมาฝากด้วยค่ะ จะได้จินตนาการอารมณ์ตอนกำลังขี่รถค่ะ ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น