วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตะลุยเดี่ยวเที่ยวแม่ฮ่องสอน...อีกครั้ง กับ BMW F800GS


ทริปใหม่...เวลาใหม่...กับรถคันใหม่ แต่ใช้ชื่อเดิม คิดอยู่นานว่าจะตั้งชื่อเจ้าหนูคันใหม่ว่าอย่างไรดี สุดท้ายก็ยังขอเรียกว่า “หนูดี” เหมือนเดิม

ประเดิมทริปแรกกับหนูดี ด้วยการพาไปแอ่วเหนือ แต่เป็นการไปครั้งที่สาม ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางกันเล็กน้อย เพื่อเพิ่มอรรถรส ยังคงคอนเซ็ปเดิมค่ะ เที่ยวไทยถ้าไปคนเดียวไม่ได้ ก็แย่แล้ว เส้นทางปีนี้แม้จะเริ่มที่เชียงใหม่ ไปปาย แต่คราวนี้ไม่ยอมพลาดปางอุ๋งอีกแล้ว แวะดอยแม่อูคอ ออกแม่แจ่ม ขึ้นดอยอินทนนท์ และยิงยาวกลับกรุงเทพมันซะเลย เอาให้สะบักสะบอมกันไปข้าง ไม่รถก็คนละงานนี้ ^_^


จริงๆ แล้วทริปนี้เป็นอะไรที่ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้ไป วันหนึ่งได้คุยกับเพื่อนที่เคยขึ้นปายด้วยกันเมื่อปีที่แล้วว่าปีนี้เขาก็จะขึ้นอีก แต่เขาจะขี่จากกรุงเทพกันตั้งแต่วันที่ 4 ไอ้เราก็ไม่สามารถหยุดงานได้ตั้งแต่วันนั้น เพื่อนก็บอกว่าตามมาขึ้นปายวันที่ 7 ก็ได้นี่ อืม...น่าสนใจ แต่ให้ขี่จากกรุงเทพคนเดียวใจก็ยังไม่กล้าพอ เกิดอะไรขึ้นคงจะลำบาก เลยตัดสินใจเอาขึ้นรถไฟมาเหมือนเดิม ปีนี้โชคดีหน่อยจองได้ได้รถไฟชั้นสองตู้นอนพัดลม ตั้งใจเลือกพัดลม เพราะอากาศดีๆ แบบนี้...

ตื่นเช้ามามีอาหารเช้ามาเสริฟถึงที่ ความสบายผิดกับปีที่แล้วลิบลับ นอนหลับสบาย...แต่เสียอย่างเดียว หวานเย็นเช่นเคย กว่ารถไฟจะออกก็ล่าช้าไปกว่าชั่วโมง (ทีปีที่แล้วเราไปช้า รถไฟดันออกตรงเวลาแป๊ะเลย) ไม่ต้องคิดละว่าจะถึงตรงเวลา...ช้าหลายชั่วโมงชัวร์ แล้วก็จริงดังคิด...ถึงช้าไปเกือบสามชั่วโมง

คราวนี้รถขนาด 800cc คิดค่าระวางแค่ 1350 บาท ทีหนูดี (คันเก่า) หนักน้อยกว่าตั้งเกือบ 50 kg ดันคิดค่าระวางตั้ง 1190 บาท เป็นงง...

เพราะถึงช้า...เราก็ต้องใช้เวลาชิวๆ ไปเรื่อย
...ภาพชีวิตแม่ค้าริมทางรถไฟ
...อีกทั้งบรรดาหมาๆ ที่อ้วนพี พอเห็นรถไฟมาจอด ก็วิ่งเข้ามาอย่างรู้งาน มายืนทำตาละห้อยขอของกินกันเป็นแถบ ก็ได้กินสมใจเขาล่ะ เพราะบรรดาอาหารที่แม่ค้าเอามาขาย ไม่ว่าจะเป็นไก่ย่างหรือหมูทอดล้วนแต่แข็งจนกินได้ลำบากนัก ทำให้บรรดาหมาๆ ลาภปากไปซะงั้นเลยค่ะ ^_^
…หัวรถจักร รฟท. ที่แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ ...จริงๆ มันน่าจะไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ได้แล้วรึยังนะ?

เหยียบเชียงใหม่ปุ๊บ บึ่งไปบ้านเพื่อนสาวชาวเชียงใหม่คนเดิม ที่ต้อนรับขับสู้ดีเสมอ ...ไม่ต้องพักหายใจหายคอกันเลย รถใหม่ต้องเพิ่มความมั่นใจด้วยการเอาไปลุยทางเขาซักหน่อย แต่เย็นแล้วก็ต้องเลือกไปใกล้ๆ จึงตกลงใจเลือกไปพิสูจน์ถนนเจ็ดพับบนเส้นทางสายสะเมิงกันนั่นเอง

คราวนี้เพื่อนสาวไม่น้อยหน้า เอารถคู่ใจไปลุยเป็น Honda Transalp 600 ซึ่งสูงไล่เลี่ยกันเลยทีเดียว


กว่าจะถึงจุดชมวิวก็เย็นย่ำ...ทันเห็นแสงสุดท้าย ยิ่งทำให้ภาพวิวทิวทัศน์สวยขึ้นได้อย่างน่าประทับใจ อากาศเย็นมาเยือน...บ่งบอกให้ได้สัมผัสรับรู้ว่า “สมกับเป็นหน้าหนาว และเทศกาลขี่รถท่องเที่ยวที่รอคอย”

ใจจริงไม่ได้สนใจงาน bike week แม้แต่น้อย แต่ไหนๆ ก็ผ่าน เลยแวะเข้าไปชมเสียหน่อย ในงานไม่ค่อยคึกคัก แม้ปีนี้จะไม่ได้เก็บค่าเข้าเสียด้วยซ้ำ

ได้มีโอกาสได้ลองขี่ HD ตัวนี้ (จำรุ่นไม่ได้) บังเอิญถามเซลล์เล่นๆ ว่าลองได้ไหม ปรากฏว่าได้...เอาออกไปซัดถนนนอกงาน ของเขาดีจริงๆ ทำเอาติดใจเลยค่ะ ^_^


เช้าวันที่ 7 ออกเดินทางขึ้นปายตอนเที่ยงตรง ปีนี้รวมรวมได้ 6 คัน ไม่ซ้ำรุ่นกันเลย... ขี่กันไปสบายๆ สไตล์ใครสไตล์มัน เน้นปลอดภัยเป็นหลัก วันที่ขึ้นคนอื่นเริ่มลง...รถขาขึ้นเลยไม่เยอะเท่าไหร่ รถสวนลงมีมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไปซะ อิอิ

ระหว่างทางเจอ BB ไม่เยอะเท่าปีที่แล้ว...มีแค่พอประปรายให้โบกมือทักทายกันเล็กน้อย

กับเพื่อนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มเดิมที่เคยแจมขึ้นปายเมื่อปีที่แล้ว แต่ปีนี้คึกคัก เพราะนอกจากรถมอเตอร์ไซด์ทั้งหมด 6 คนที่ว่า ยังมีรถขับตามขึ้นมาอีกสามคัน เราพักกันที่รีสอร์ท...รักริมปาย จริงๆ แล้วก็เอาเต้นท์ไปเหมือนเดิม แต่ในเมื่อเต้นท์ของโรงแรมออกจะกล้างขวางใหญ่โต จะปฏิเสธไปไย หน้าเต้นท์เป็นนาข้าง และมีแปลงปลูกผักโดยรอบ อยู่ติดกับแม่น้ำปาย ^_^ โรแมนติกมาก แต่...นะ มาแบบไร้คู่


โฉมหน้าผู้ร่วมขี่ในทริป ในอิริยาบทต่างๆ และบรรยากาศระหว่างเดินทาง



เย็นย่ำค่ำคืน...การไปเดินถนนคนเดินที่ปาย เป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ได้...ว่าเป็นสิ่งจำเป็น บนถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไทย ข้าวของมากมายที่นำขาย...ล้วนแล้วแต่เป็นของแฮนเมด หรือไม่ก็เป็นของที่บ่งบอกว่ามาจากหัวคิดของพ่อค้าแม่ค้าที่รักอิสระภาพ แล้วนำพาชีวิตตนออกจากความวุ่นวายของสังคมมาใช้ชีวิตชิวๆ อยู่ที่นี่
...อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้ นั่นคือ ถนนนี้เป็นถนนแห่งอาหารการกิน มากมายหลายหลาก...ให้เลือก กินกันจนพุงกางก็ยังมีของที่อยากกินอีกตั้งหลายอย่าง
...และกิจกรรมสุดท้ายที่ขาดไม่ได้...นั่นก็คือ การลอยโคม ^_^


เช้าวันรุ่งขึ้น โปรแกรมถัดไปคือ ถ้ำน้ำลอด มุ่งหน้าจากปายไปทางปางมะผ้า
...แม้ในทริปจะมีคนที่รถมีปัญหาแต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ
...รถเต่าเปิดประทุนคันนี้ คนขับอุตสาห์ขับมาจากกรุงเทพเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อมาเปิดประทุนที่นี่ อยากจะบอกว่ารถน่ารักชะมัดเลย

จากถนนหลัก...เข้าไปอีกประมาณ 8 กิโลเมตร ดำเนินการโดยชาวบ้านในพื้นที่ ถ้ำน้ำลอด...ได้ชื่อมาจากการลักษณะของถ้ำที่แม่น้ำลอดเข้าไป


เมื่อล่องแพเข้าไป ก็จะมีการจอดยังจุดต่างๆ เพื่อให้เราเข้าไปเดินเที่ยวชมในถ้ำต่างๆ ซึ่งมีถ้ำหลักๆ 3 ถ้ำ ซึ่งแต่ละถ้ำก็ต้องเดินขึ้นไปสูงเอาเรื่อง เล่นเอาลิ้นห้อยเลยทีเดียว

การดำเนินงานในพื้นที่ท่องเที่ยวกระทำโดยชาวบ้านท้องถิ่น แพหนึ่งลำนั่งได้ 4-5 คน ค่าบริการ 450 บาท ต่อการเข้าชมทั้งสามถ้ำ (แต่ใครจะเข้าไปไม่ครบกันละเนี่ย) และบวกอีก 150 บาทสำหรับค่าไกด์ 1 คน

ภายในถ้ำ...หินงอกหินย้อนอันแสนสวยงาม ได้รับการตั้งชื่อต่างๆ ตามแต่จินตนาการ

ออกจากตรงถ้ำลอดก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น...แยกออกมาเดินทางต่อคนเดียว ตั้งใจจะไปนอนปางอุ๋งให้ได้ เพราะพลาดไปเมื่อปีที่แล้ว ขี่ทำเวลาเต็มที่เพราะนี่ก็ใกล้จะมืดเต็มที กว่าจะเฆี่ยนไปถึงปางอุ๋ง หรือบ้านรวมไทยก็โพล้เพล้แล้ว ตัดสินใจเลยเข้าไปนอนที่บ้านรักษ์ไทยดีกว่า เพราะว่ามีโรงแรมแน่ อยากนอนสบายๆ ขึ้นมาซะงั้น...กลายเป็นปีนี้เต้นท์เป็นหมันไม่ได้ใช้ซะงั้น

ขี่ไปถึงหมู่บ้านรักษ์ไทย พร้อมกับแสงสุดท้ายที่จากไป ความรู้สึกแรกที่คิด...หมู่บ้านอะไรเนี่ย ไม่เห็นสวยเลย แต่เพราะมืดแล้ว ไม่มีทางเลือก...ขี่ดุ๋ยๆ ไปจอดหน้าร้านขายชา เดินไปถามว่ามีโรงแรมที่ไหนบ้าน ปรากฏว่าร้านนี้เขามีโรงแรม จึงให้เด็กพาไป... เด็กร้านขี่มอเตอร์ไซด์นำไปตามทางลูกรังหลังร้าน ไอ้เราก็คิดในใจ...เอาไงดีวะ ไว้ใจได้มั๊ยวะเนี่ย แต่เห็นโรงแรมอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก ดูดีทีเดียวเชียว...จึงโอเค

ตกกลางคืน...ตอนแรกก็ขี้เกียจออกไปไหน ก็แหมรถเราเองก็แสนจะใหญ่ เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วใครจะอยากขี่ ต้มมาม่ากินไปหนึ่งห่อ แต่ก็ไม่ชนะความหิวที่มี จึงเดินออกไปขอยืมรถมอเตอร์ไซด์เด็กดูแลโรงแรมออกไปขี่เที่ยวหมู่บ้านมันซะเลย พอได้ขี่ออกไปตามซอกซอยและได้มีเวลาพินิจพิจารณามากขึ้น และได้ไปแวะที่ร้านอาหาร “ลีไวน์รักไทย” ซึ่งอยู่ติดริมบึงใหญ่ เอ...หมู่บ้านนี้สวยมากเลยทีเดียว แถมได้ไปเห็นอาหารที่เขานั่งๆ กินกันอยู่ โอว...ขาหมูยูนาน หมั่นโถ อดใจไม่ไหวซื้อมากินทั้งๆ ที่ขามันใหญ่มาก รู้เลยว่ากินไม่หมด กะว่าเอาไว้กินเป็นมื้อเช้าต่อก็แล้วกัน แต่ที่ไหนได้...ตื่นมาซุปขาหมูแข็งกลายเป็นเยลลี่ไปหมดเลยซะงั้น เสร็จคุณหมาๆ แถวนั้นเลย -_-

ตื่นแต่เช้าด้วยความแจ่มใสสดชื่น คิดในใจว่าดีใจมากที่ไม่ได้นอนเต้นท์ เพราะเมื่อคืนหนาวมาก ออกเดินทางจากบ้านรักษ์ไทย 9 โมงตรง จุดแรกที่แวะเยี่ยมเยือน...หนีไม่พ้นปางอุ๋ง หรือ บ้านรวมไทย กว่าจะความหาในแผนที่เจอว่าเจ้าปางอุ๋งนี่มันอยู่ตรงไหน ก็เกือบจะเข้าไปผิดไปหมู่บ้านปางอุ๋งแถวๆ ดอยแม่อูคอซะแล้ว

ปางอุ๋งเป็นพื้นที่ปลูกป่า ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริ ในบริเวณมีอ่างเก็บน้ำ บ้านพักของทางราชการ และลานกลางเต้นท์ แต่ถ้าใครไม่อยากนอนเต้นท์ แถวนี้ไม่มีโรงแรมแม้แต่ที่เดียว จะมีก็แต่โฮมสเตย์ ซึ่งเป็นบ้านของชาวเขาในบริเวณนั้นที่ทำอย่างเป็นลำเป็นสัน...มีการตกแต่งน่ารักน่าอยู่ไม่น้อยเลย


...เขาว่าในปางอุ๋งมีหงส์...สองตัว ขาวกับดำ แต่วันนี้เห็นแต่สีขาวตัวเดียวเอง แถมอยู่ลิบๆ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
...มาคราวนี้คงเพราะเป็นช่วงวันหยุดที่ไม่ติดกันยาว จึงมีคนทยอยขึ้นสลับกับลงเป็นระยะ ทำให้ปริมาณผู้คนไม่แออัดยัดเยียด ออกแนวสบายๆ ^_^


จากปางอุ๋งมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เสียงตามสาย...บอกให้ไปรับใบประกาศนียบัตรด้วย แต่...ม่ายอาววว ขี้เกียจรอ ขนาดว่าจะแวะวัดในเมืองยังบายเลย ยิงยาวสู่ดอยแม่อูคอ ไปดูทุ่งดอกบัวตองดีกว่า แม้จะไม่บานสะพรั่งนัก แต่ก็เหลืองอร่ามเต็มยอดดอย นี่ขนาดไม่ใช่สัปดาห์ที่สวยที่สุด ยังสวยสดงดงามได้น่าประทับใจขนาดนี้ ถ้ามาช่วงพีคจะขนาดไหนเนี่ย

ยืนชื่นชมอยู่ซักพัก ดูนาฬิกา...ตายละวา สองโมงกว่าแล้ว โครงการแวะน้ำตกแม่สุรินทร์เป็นอันต้องพับไป แผนต่อมาคือจากที่ดูใน google map มันมีทางไปออกสะเมิงได้ แต่จาก GPS ที่ติดไปมันบอกว่าต้องลงมาตัวเมืองเชียงใหม่ ก็เลยพับไปอีกหนึ่ง

สรุปก็คือขี่ไปทางแม่แจ่ม ผ่านดอยอินทนนท์ แล้วลงเชียงใหม่ ทางจากดอยแม่อูคอไปแม่แจ่มไม่ค่อยดี ชำรุดพอสมควร ส่วนทางบนดอยอินทนน์ก็มีดินถล่มจนถนนพังอยู่สองช่วง แม้จะไม่ได้ไปซ้ำที่สะเมิง แต่เส้นทางจากดอยแม่อูคอจนมาถึงดอยอินทนนท์ก็ให้อรรถรถเต็มใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ทางเขาโค้งแคบและชันพอสมควร กว่าถึงเชียงใหม่หกโมงเย็นพอดิบพอดี ^_^ เล่นเอาหมดแรงเลย เพราะวันนี้ขี่ไปกว่า 300km. ทางเขาล้วนๆ

ตอนแรกก็กะว่าจะเอาขึ้นรถไฟกลับเหมือนเดิม แต่ขามาก็หวานเย็นซะจนเลี่ยน เลยชักขยาด พอดีมีเพื่อนจากก๊วนปายขี่กลับกันหลายคัน เลยเอากะเค้าด้วย แต่ตื่นเช้า (วันกลับ) ปวดเมื่อยมาก คิดว่าจะเบี้ยวดีมั๊ย แต่กัดฟันคิดว่าเป็นการฟิตร่างกาย เพราะการมีรถอยู่ในมือแล้วนั้น...ถ้าไม่ขี่จะมีไปทำไม ขากลับขี่กันสบายๆ (แต่ก็มีบางช่วงกดไปสองกว่า o_O’ โอ...รถมันช่างตอบสนองได้ดีเหลือเกิน)ออกจากเชียงใหม่ 11 โมง ถึงกรุงเทพ 6 โมงแป๊ะเลย

จากทริปนี้...แม้รถจะสูง ทำให้เสียวไส้อยู่ไม่น้อย เวลารถติดนาน เพราะน่องพาลจะเป็นตะคริว แต่สมรรถนะของรถไม่ต้องพูดถึง เรียกว่ารักกันไปแล้วตอนนี้ ขี่ง่าย เป็นรถที่บาลานซ์ดีมากๆ เครื่องตอบสนองทันใจ สำหรับแรงสุภาพสตรีกับความเร็วสองร้อยนิดๆ น่าจะเพียงพอต่อความสามารถในการเกาะไม่ให้ตกรถไปซะก่อน

จบทริปด้วยความม่วนอีกครั้ง...ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ

ปล.ปีนี้ยำรูปเป็นก้อน จะได้ไม่ยาวเกิน และดูเพลินตา (รึเปล่าไม่รู้) ติชมกันได้ค่ะ

9 ความคิดเห็น:

  1. ชอบใจจริงๆเลย ร่างกายจะเป็นหญิง แต่ใจแกร่งกว่าผู้ชายบางคนซะอีก
    ผมชอบอ่านเรื่องท่องเที่ยว โดยเฉพาะขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว
    ชอบครับ......ใจ. นับถือ

    ตอบลบ
  2. ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบ BB เหมือนกัน
    เห็นแล้วรู้สึก อยากไปจัง......
    ภาพสวย.ขอบคุณมากครับ

    ตอบลบ
  3. GS น่าใช้จริงๆ ครับ อ่านจบแล้วเกิดกิเลสทันทีเลย

    ตอบลบ
  4. ว้าวรถสวยและดีน่าขี่มากกกครับ เจ้าของก็เข้าใจขี่เข้าใจเลือกมีรายละเอียดเยอะ

    ตอบลบ
  5. เก่งจริง ๆ เลยจ้ะ
    พึ่งมาอ่านเจอเอาตอนอายุ 50 แล้ว
    อยากทำอย่าง sweet2syrup มั่งจัง
    แต่คงไม่ทันแล้วล่ะสำหรับป้าอายุ 50 หุหุ

    ตอบลบ
  6. HD XR1200X นะครับ ถ้าจำไม่ผิดนะ

    ตอบลบ
  7. เยี่ยมครับ ถ้ามีหญิงไทยสไตล์นี้เยอะชาติคงเจริญขึ้น

    ตอบลบ
  8. ผู้หญิงยังกล้าขี่เลยรถคันใหญ่ๆ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชายหลายๆคนได้เป็นอย่างดี น่าชื่นชมครับ

    ตอบลบ