แล้วก็มาถึงวันที่ 4 ธค.วันนี้ก็ดันยุ่ง ทำงานกว่าจะเลิกปาเข้าไปหกโมงเย็น กระเป๋ายังไม่ได้แพ็คเลย ตายแน่!! กว่าจะออกจากบ้านก็ปาเข้าไปทุ่มครึ่ง บึ่งรถไปร้านรถมอเตอร์ไซด์ ไปเปลี่ยนท่อไปเสียเป็นท่อสูตรซะหน่อย ก่อนเอาไปซิ่งเหนือ กว่าจะเปลี่ยนท่อเสร็จสามทุ่มครึ่ง รถไฟออกสี่ทุ่ม บึ่งไปถึงหัวลำโพงสี่ทุ่มเป๊ะ วันนี้รถไฟเจ้ากรรมก็ดันออกตรงเวลา ตีธงเขียวพอดิบพอดี
ทำไงละทีนี้...ขี่รถตามไปขึ้นที่สถานีดอนเมือง ยังมีเรื่องให้ใจหายใจคว่ำอีก...ดันไม่ได้เอาก๊อปปี้เล่มมา ตอนแรกนายสถานีจะไม่ยอมให้นำรถขึ้นไป ต้องอ้อนวอนกันอยู่นานทีเดียว ถึงยอมในที่สุด ตอนที่เขาเอารถขึ้นโบกี้สัมภาระ เจ้าหน้าที่ให้เราปลดสัมภาระออกจากรถให้หมด เอาละครับ...ทีนี้ก็พะรุงพะรังกันเลยทีเดียว
ขึ้นมาถึง...โอ้แม่เจ้า คนแบบว่าแน่นมากๆ ทำไมมีคนยืนด้วย แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าของเรามีเบอร์ที่นั่ง ยังไงก็ต้องได้นั่ง ที่นั่งเราก็อยู่มันซะกลางตู้ กว่าจะฝ่าผู้คนไปถึงที่นั่งได้ก็เล่นเอาลิ้นห้อย ร้อนมากๆ เป็นครั้งแรกที่ขึ้นรถไฟชั้นสามแล้วนั่งยาวขนาดนี้ เชียงใหม่เชียวนะ ของก็เยอะ หมวกกันน็อคกับเสื้อแจ็คเก็ต ไม่กล้าวางกลัวหาย เลยต้องกอดนั่งหลับมันไปทั้งคืน -_-" มาตื่นอีกทีราวแปดโมงกว่า เพราะรู้สึกว่ารถไฟมันกระตุกๆ แล้วก็หยุด เป็นเรื่องประจำของรถไฟภาคเหนือคือหัวจักรเสีย
รถไปมีกำหนดการถึงเชียงใหม่บ่ายโมง แต่กว่าจะถึงก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมง กรรมยังไม่หมดแค่นี้ เมื่อถึง...ก็จะกดโทรศัพท์หา Biker สาวชาวเชียงใหม่ที่เราจะแวะทำความรู้จัก (เพื่อนคนนี้มีเพื่อนอีกคนแนะนำให้รู้จักอีกที แต่โลกกลมมาก กลายเป็นว่าเราเคยรู้จักกันใน Hi5 เมื่อนานมาแล้ว)โทรศัพท์เจ้ากรรมดันแบตหมด เอาไงดีละทีเนี่ย...เพื่อนคนนี้บอกว่าร้านขายรถมอเตอร์ไซด์ของเขาอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไป (ไม่เกิน 1 km) ก็เลยลองขี่มั่วๆไป ตาก็มองหาร้านขายโทรศัพท์ว่าจะเข้าไปขอชาร์ทโทรศัพท์ซักแป๊ปนึง ขณะที่ขี่ๆอยู่ก็มีผู้หญิงคนนึงวิ่งตามอยู่บนฟุตบาท พลางตบมือ แล้วก็ตะโกนเรียกชื่อ เป็นอันว่าได้เจอกันในที่สุด ตอนแรกก็กะจะแค่แวะทัก แต่ Biker สาวที่น่ารักคนนี้ไม่ยอมให้ไปนอนโรงแรม ลากเราไปนอนที่บ้าน แล้วกลายเป็นคนที่พาเที่ยวไปในที่สุด
แม้จะได้นอนน้อย แต่ก็ยังกระฉับกระเฉง ประมาณว่าตื่นเต้น ก็เลยชวนกันไปขี่ขึ้นดอยสุเทพเป็นการซ้อมมือ เพราะขี่ที่กรุงเทพไม่มีโค้งหรือเขาให้ลองขี่เลย แต่ขึ้นไปถึงก็ห้าโมงกว่าแล้ว เลยไม่ได้ขึ้นไปต่อ เดินขึ้นไปสักการะพระธาตุ...หอบแฮ่กๆเลย ลงมาถึงก็มืดพอดี
วันที่สองตกลงใจจะขึ้นดอยอินทนนท์ ตอนแรกนัดกับเพื่อน(ในHi5)อีกคนว่าจะขึ้นดอยด้วยกัน แต่กลุ่มนี้เขาออกตัวว่าเป็นรถแรง ขอขึ้นสายๆหน่อย แต่เพื่อนสาวบอกว่าขึ้นแต่เช้าดีกว่า ซึ่งเราก็เห็นด้วย แถมยังไปเกณฑ์เพื่อนมาขี่เที่ยวด้วยอีกเพียบเลย ^_^ น่ารักที่สุด เราเลยตัดสินใจออกกันตั้งแต่เจ็ดโมง แต่กว่าจะไปถึงตีนดอยอินทนนท์ กว่าจะรวมพลก็ปาเข้าไปเก้าโมงกว่าแน่ะ แต่ก็ยังถือว่าเช้าอยู่ แต่แค่นี้ก็เริ่มจะมีรถแล้ว ถ้ารถเยอะขี่ไม่สนุกแน่ๆ ขณะขี่ขึ้นไปยังมีหมอกลงให้เห็น ทางสวย อากาศดี
โทรไปหาอีกก๊วนที่นัดไว้ตอนแรก สิบโมงเพิ่งมาถึงตีนดอย ได้เราก็ขึ้นมาตั้งนานแล้ว กลุ่มที่ขึ้นมากับเราจะลงแล้วไปเที่ยวพระธาตุ เราเลยตัดสินใจลงไปรอที่พระธาตุเลยดีกว่า ระหว่างทาง...มี BB ขี่สวนขึ้นสวนลงพอสมควร
จนสิบเอ็ดโมงกว่า ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกกลุ่มจะขึ้นมาถึง ไหนๆก็นัดกันแล้ว เลยตกลงรออยู่ โดยกลุ่มแรกกลับลงไปก่อน รออยู่นาน ก็เลยขี่ลงไป กะว่าถ้าเจอขี่สวนมาค่อยขี่กลับขึ้นมาอีกที แต่ด้วยความหิว จึงไปแวะที่จุดพักกลางทาง มีเรื่องให้น่าตื่นเต้นอีกครั้ง มีโทรศัพท์จากธนาคารโทรเข้ามาบอกว่าคุณทำบัตรเครดิตหาย งงดิ...ตั้งแต่มาที่เชียงใหม่ยังไม่ได้ใช้บัตรเลย แล้วไปตกตรงไหนเนี่ย เปิดกระเป๋าคาดเอว...โอว โน!!! กระเป๋าเงินหายไปแล้ว ปรากฏว่ามีคนเก็บได้ แล้วเขาโทรไปยังธนาคารให้หาทางติดต่อเรา สุดท้ายก็นัดเจอกันในบริเวณนั้นเพื่อที่จะคืนให้ ถ้าหายนี่แย่แน่ๆ จะเอาตังค์ที่ไหนเที่ยวละทีนี้ 555 กว่ากลุ่มที่สองที่นัดเจอจะขึ้นมาถึงก็เที่ยงพอดี ก๊วนนี้มาทั้งหมด 19คัน ตัดสินใจไปกินข้าวกันที่โครงการหลวง จะไปกินปลาเทร้าซ์กัน แต่ปรากฏกว่าตัวเล็กมาก สงสัยคนคงจะมากินเยอะ เลยโตไม่ทัน เลยมีวลีเด็ดว่า "ปลาเทร้าซ์เท่าปลาทู" คนก็เยอะ อาหารก็ช้า ช่วงเทศกาล ไม่แนะนำอย่างยิ่งเลยค่ะ
คืนวันที่ 6 ธ.ค. 51 ก็ได้เข้าไปเที่ยวในงาน Bike week มีรถมาร่วมงานมากมาย แต่ HD จะอภิสิทธิ์หน่อย เพราะเค้าเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ ตัวเองไม่ชอบชอปเปอร์ แต่ตัวในรูปล่างนี้เป็นข้อยกเว้น สวยจริง Sportster 1200 ตัวนี้
หลังจากกลับจากงานไบค์วีคก็ได้โทรนัดกับเพื่อนอีกกลุ่มนึง ที่ตกลงว่าเราจะขอแปะขึ้นปายด้วยคน โดยกลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มที่ขี่มาจากกรุงเทพเลย นัดแนะกันว่าพรุ่งนี้เจอกันแปดโมงเช้าที่สตาร์บัค ถนนนิมานนรดี กว่าจะมากันก็ปาเข้าไปเก้าโมงเช้า มาสองคันเป็น BMW ทั้งคู่ รถเราเลยเหมือนรถเด็กเล่นไปเลย คันเล็กกว่าตั้งเยอะ ที่เหลืออีกเจ็ดคันยังไม่ฟื้นจากฤทธิ์น้ำเมา(ทริปนี้เป็นทริปที่แรดมาก เพราะแปะเขาไปทั่ว ตอนนี้ก็สามกลุ่มแล้ว)
ขึ้นถึงปายราวๆ เกือบเที่ยง ทางสนุกมาก โค้งเป็นโค้งแคบๆ และสั้น ดังนั้นหนูดีเลยกินซะ แบบว่าจ่อคันหน้าตลอด แต่ไม่แซงเพราะรู้ว่าไงทางตรงก็สู้ไม่ได้ กดดันอยู่ข้างหลังสนุกกว่าเป็นไหนๆ ถึงปุ๊บ...พี่ๆกลุ่มนี้เค้าจองที่พักไว้แล้ว แต่เราอุตส่าห์เอาเต้นท์มา ก็แหม...ซื้อใหม่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ จะไม่ใช้ได้ไง ต้องหาที่กางให้ได้ ตอนแตกพี่เค้าก็คุยกับทางรีสอร์ทว่าจะขอให้เรากางเต็นท์ แต่ทางรีสอร์ทไม่ยอม เราก็ไม่ง้อ ระหว่างนี้มีโทรศัพท์เพื่อนพี่กลุ่มนี้เข้ามาว่า มีหนึ่งคันในก๊วนประสบอุบัติเหตุ กระดูกหักสามแห่ง แต่ลำตัวกับหัวไม่เป็นไร ทำให้ที่เหลือทั้งหมดไม่มีใครตามมา เป็นอันว่ารีสอร์ทที่จองก็เหลือ เราก็ไม่เอาอยู่ดี จึงขอแยกตัวไปหาที่กางเต๊นท์ แล้วกลับมารวมตัวกันอีกทีตอนบ่ายโมงเพื่อกินข้าว
ชื่อช่างเหมาะกับเราแท้ๆ เพราะเดินทางมาจากเมือง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ราวสามโมง เราตัดสินใจจะไปปางมะผ้ากัน ระยะทางราว 40KM แต่ขี่ไปถึงจุดชมวิวกิ่วลมก็ราวๆสี่โมงกว่าแล้ว ถามชาวบ้านดู บอกว่าถ้ำลอดและแถวปางมะผ้าจะปิดราวๆ ห้าโมง ซึ่งกว่าจะขี่ไปถึงก็คงราวๆนั้น จึงตัดสินใจนั่งเล่นที่นี่กันแทน เพราะไม่อยากกลับแบบมืดๆ ฉันเคยมาแถวนี้แล้วหนึ่งครั้งเมื่อสองปีก่อน เพียงแค่สองปี อะไรๆก็เปลี่ยนไปมาก ความรเจริญที่เข้ามา ทำให้ภาพแห่งวิถีชีวิตแบบดิบๆ เดิมๆหายไป สำหรับฉันที่เป็นคนเมืองก็อยากเห็นภาพเหล่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นสิ่งที่คนท้องถิ่นเหล่านี้ต้องการก็เป็นได้
ซะจนคิดว่าซื้อมาขายมากกว่าทำเอง เพราะมันเหมือนกันหมด
กลับมาถึงที่พักประมาณหกโมงเย็น แยกย้ายกันไปอาบน้ำ นัดแนะกันไปเดินถนนคนเดิน คืนนี้ที่ปายมีเทศการหนัง แต่ยังไม่รู้ว่าจะดูหรือเปล่า เพราะไม่รู้โปรแกรมหนังเลย ใจไม่อยากดูเพราะขี่รถมาเหนื่อยๆทั้งวัย อยากร่ำสุรามากกว่า (ยอมรับว่าเป็นสุภาพสตรีขี้เมา เอิ้กๆ)
ติดตามต่อตอนที่สองนะคะ ไม่งั้นมันจะยาวมากๆ เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น